เหลือเวลาอีก 2 วัน คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล นายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีต รมว.วัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
กรณีออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ลงวันที่ 10 กันยายน 2551 ให้แก่ บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคาร โครงการวอเตอร์ฟรอนท์ พัทยา (Waterfront Pattaya) หรือ วอเตอร์ฟรอนท์ สวีท แอนด์ เรสซิเดนท์ เป็นโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมและโรงแรมหรู 53 ชั้น บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จ.ชลบุรี มิชอบด้วยกฎหมาย กำลังจะ ‘หมดอายุความ’
คดีนี้สั่นสะเทือนกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยอีกครั้ง และทำให้เกิดข้อกังขามากมายอีกหน
โดยเฉพาะช่องว่างทางกฎหมาย ที่ทำให้หลายคนสามารถรอดเงื้อมมือกระบวนการยุติธรรมไปได้
กรณีของนายอิทธิพลนั้นเกิดขึ้นสมัยเป็นนายกเมืองพัทยา เมื่อเกือบ 15 ปีที่แล้ว เรื่องอยู่ในการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มายาวนาน กระทั่งเพิ่งมาชี้มูลนายอิทธิพลกับพวกไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ป.ป.ช.เพิ่งจะรวบรวมสำนวนและพยานหลักฐานส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง
ที่สำคัญ ป.ป.ช.เพิ่งจะขอให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ออกหมายจับนายอิทธิพล เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันคดีจะหมดอายุความแล้ว
เพราะในบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กำหนดอายุความไว้เพียง 15 ปี ซึ่งเรื่องเกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551
เรื่องดังกล่าวทำให้เกิดคำถาม ตั้งแต่การใช้เวลาไต่สวนที่ยาวนานของ ป.ป.ช. และเพิ่งจะมาชี้มูลเอาในช่วงที่คดีใกล้หมดอายุความ ตลอดจนการสั่งฟ้องภายหลังที่นายอิทธิพลพ้นจากตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรมไปแล้ว ทำให้ติดตามตัวยากกว่าตอนเป็นรัฐมนตรี
ซึ่งหาก ป.ป.ช.ชี้มูลและสั่งฟ้องได้เร็วกว่านี้ตั้งแต่นายอิทธิพลยังเป็น รมว.วัฒนธรรม การหลบหนีอาจกระทำได้ยากกว่า
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดความคลางแคลงใจในสังคมว่า มีใครจงใจทำให้ออกมาเป็นแบบนี้หรือไม่?
อย่างไรก็ดี สำหรับไทม์ไลน์ในชีวิตของนายอิทธิพลนั้นพบว่า เคยถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในขณะนั้น ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เด้งออกจากตำแหน่งนายกเมืองพัทยา
ซึ่งในยุค คสช.ใหม่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจมาตรา 44 เด้งข้าราชการและผู้บริหารท้องถิ่นที่พัวพันคดีทุจริตนับร้อยคน ซึ่งนายอิทธิพลที่มีคดีใน ป.ป.ช.คือหนึ่งในนั้น
ต่อมาในปี 2561 มีการก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐเพื่อมาเป็นนั่งร้านให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยช่วงนั้นมีกระแสข่าวออกมาหนาหูว่า ในหนึ่งวิธีที่ผู้มีอำนาจใช้ต้อนนักการเมืองให้ยอมมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ คือกดดันเรื่องคดีความ หรือมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างที่คุ้มค่า
ซึ่ง บ้านใหญ่ชลบุรี ภายใต้การนำของ นายสนธยา คุณปลื้ม กลายเป็นนักการเมืองล็อตแรกๆ ที่ถูกชวนมาร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ
มิเพียงเท่านั้น พี่น้องคุณปลื้ม ‘สนธยา-อิทธิพล’ ยังเข้ามามีตำแหน่งในฝ่ายบริหารยุค คสช. โดย ‘สนธยา’ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ขณะที่ ‘อิทธิพล’ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ต่อมาในเดือนกันยายน 2561 พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจหัวหน้า คสช.คืนอำนาจให้กับคนบ้านนี้ โดยแต่งตั้ง ‘สนธยา’ เป็นนายกเมืองพัทยา หลังเคยใช้อำนาจนี้เด้งน้องชายคือ ‘อิทธิพล’ มาก่อนหน้านั้น
ส่วน ‘อิทธิพล’ ถูกส่งเข้ามาช่วยงานพรรคพลังประชารัฐในยุคแรกเริ่ม และยังเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดแรกด้วย ซึ่งแม้จะสอบตก แพ้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น แต่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รมว.วัฒนธรรม ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในโควตา ‘บ้านใหญ่ชลบุรี’
ในปี 2562 นายสนธยาตัดสินใจพาทีมบ้านใหญ่ไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ขณะที่นายอิทธิพลลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ตามพี่ชายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย รวมถึงไม่ไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติแม้จะถูกชักชวนก็ตาม
มีแต่ข่าวออกมาว่า ต้องการเว้นวรรคทางการเมืองก่อน
เมื่อรูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ หลายฝ่ายจึงตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากล
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาในประเด็นที่อธิบดีอัยการปราบทุจริตฯ ส่งหนังสือด่วนถึงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ศาลออกหมายจับนายอิทธิพลฉบับใหม่ โดยหยิบยก พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า "...ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดี หรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ..."
ป.ป.ช.จะมีท่าทีเรื่องนี้อย่างไร เพราะเป็นกฎหมายของตนเองด้วย
กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมาก เพราะมันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะกับคนที่มีอำนาจ
ตั้งแต่ในยุค รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังเกิดแบบนี้ซ้ำๆ
น่าสนใจอย่างมากว่า เมื่อถึงยุคของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่เพิ่งประกาศต่อสู้กับการคอร์รัปชันเมื่อวันที่ 6 ก.ย. เรื่องพวกนี้ยังจะอยู่ หรือหมดไปได้หรือไม่
เพราะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทย และเคยทำให้รัฐบาลทักษิณล่มสลายมาแล้ว!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แดน 5 ปลายทางชีวิต 'ผู้กำกับโจ้' หลายเงื่อนงำรอ 'ความจริงเปิดเผย'
การเสียชีวิตของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ห้องในหมายเลข 50 แดน 5 เรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2568 เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจและความสงสัยอย่างมากในสังคม กรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรมได้ชี้แจงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ ผู้กำกับโจ้ ดังนี้
‘ปชน.’ (ดื้อ) ไม่ถอดชื่อ ‘ทักษิณ’ ดึงเกมสภา ขอวันอภิปรายเพิ่ม?
จากข้อพิพาทการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรือ ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ภายหลัง ‘พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ ใส่ชื่อ ‘นายใหญ่’ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะบิดา เพื่อซักฟอก ‘นายกฯ อิ๊งค์’ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลูกสาว แต่เพียงผู้เดียว
“ไม่มีตัวปลอม”ในเวทีเจรจา เหตุใดไปไม่ถึงโจทย์ดับไฟใต้?
เหตุการณ์รุนแรงที่หน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) เสียชีวิต 2 ราย ยังไม่นับเหตุการณ์ในจุดอื่นที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกหลายราย
ปธ.สภาฯดับเครื่องชนฝ่ายค้าน สัมพันธ์ลึก ทักษิณ-วันนอร์ กับดีลการเมือง"เจ้าสัว"คนดัง
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้สัมภาษณ์ 2 รอบย้ำชัดๆ ฝ่ายค้านต้องแก้ไขเนื้อหาใน ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
'ขัดแย้งไป-เคลียร์ไป'ลากรัฐบาล คดีกวนใจ'นายใหญ่'กับเกมยึดอาวุธลับ
“ไม่สามารถคาดเดาว่าระเบิดลูกไหนจะทำงานก่อน และส่งผลให้เกิดการล้มกระดานไปเร็วก่อนครบวาระ จึงต้องค่อยๆ เก็บเบี้ยตัวสำคัญ และอาวุธลับที่ใช้เผด็จศึกศัตรูให้มาอยู่ในมือตัวเองมากที่สุด พร้อมไปกับเช็กทิศทางขององค์กรที่ชี้เป็นชี้ตาย”
รับฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ เกมยาว 'สีน้ำเงิน-สีแดง'
คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นคดีพิเศษแล้ว ท่ามกลางกระแสความกดดันระหว่าง สว.สายสีน้ำเงิน ที่มีการเปิดศึกถล่มกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถึงความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานฝั่งตรงข้ามรัฐบาลเสมอ