
มีความชัดเจนทางการเมืองเกิดขึ้นหลายอย่างในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ซ้ำได้หรือไม่ หลังจากมี สส.และ สว.บางส่วนยกข้อบังคับการประชุมสภาขึ้นมาว่าไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นญัตติที่ตกไปแล้ว จนทำให้การโหวตนายกรัฐมนตรีต้องเลื่อนออกมาเป็นสัปดาห์
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าผู้ร้องเรียนไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213
ด้านนายพิธา ในฐานะผู้เสียหายโดยตรง ปฏิเสธที่จะใช้สิทธิยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า “เป็นปัญหาของสภา ดังนั้นควรแก้กันที่สภา”
ส่วนท่าทีภาพรวมของพรรคก้าวไกลดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ โดยเฉพาะประเด็นเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซ้ำ โดยนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค เปิดเผยภายหลังรู้ผลศาลรัฐธรรมนูญว่า เตรียมจะขอให้ทบทวนมติที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม กรณีเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่
ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้กำหนดให้วันที่ 22 สิงหาคม เป็นวันโหวตนายกรัฐมนตรียกสอง
แต่ก่อนจะโหวตนายกรัฐมนตรี จะมีการหารือกันถึงญัตติของนายรังสิมันต์ ซึ่งยังค้างวาระอยู่เมื่อการประชุมรัฐสภาครั้งที่แล้ว และยังไม่มีข้อยุติ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงจะเข้าสู่การโหวตนายกรัฐมนตรี
ในส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย สัปดาห์ที่ผ่านมาชัดเจนแล้วเหมือนกันว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ จะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค เข้าไปโหวต
โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความมั่นใจว่า ขณะนี้นายเศรษฐาได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งแล้ว พร้อมกับมั่นใจว่าจะโหวตเพียงรอบเดียวแล้วผ่านเลย
สำรวจเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยขณะนี้ ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรถือว่าได้เกินกึ่งหนึ่งแล้ว หลังเมื่อวันพฤหัสบดี พรรครวมไทยสร้างชาติตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ทำให้ได้เสียงเพิ่มอีก 36 เสียง
ส่วนสัปดาห์ก่อน พรรคพลังประชารัฐ โดยนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร และกรรมการบริหารพรรค ออกมาประกาศว่า 40 เสียงของพรรคจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย
ทำให้เสียงสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรมีมากถึง 314 จาก 11 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคท้องที่ไทย 1 เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง
สำหรับความคืบหน้าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีรายงานว่า แต่ละพรรคสามารถตกลงสัดส่วนกระทรวงที่แต่ละพรรคจะได้เรียบร้อยแล้ว อย่างเช่น พรรคภูมิใจไทย จะได้รัฐมนตรีว่าการ 4 ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ 4 ตำแหน่ง พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้รัฐมนตรีว่าการ 2 ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ 2 ตำแหน่ง หรือพรรคพลังประชารัฐ ได้รัฐมนตรีว่าการ 3 ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ 1 ตำแหน่ง เป็นต้น
ส่วนรายละเอียดว่าใครจะนั่งกระทรวงไหน คาดว่าจะจบก่อนวันที่ 22 สิงหาคมนี้แน่นอน หลังพรรคร่วมหลายพรรคส่งสัญญาณออกมาว่าต้องการได้บทสรุปก่อนที่จะยกมือให้ เพื่อความไว้วางใจต่อกัน
อย่างไรก็ตาม แม้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทยนาทีนี้จะท่วมท้น ทะลุ 300 เสียงไปเรียบร้อย แต่ตามรัฐธรรมนูญแล้ว หากนายเศรษฐาจะฝ่าด่านก้าวขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้ จะต้องได้รับความเห็นชอบ 375 เสียง เท่ากับว่าตอนนี้พรรคเพื่อไทยขาดอยู่อีก 61 เสียง โดยจะต้องไปพึ่งจาก สภาสูง
แม้พรรคเพื่อไทยเองแสดงความมั่นใจว่าสามารถหาเสียงที่เหลือจาก สว.ได้ เพราะแกนนำหลายคนในพรรคมีคอนเนกชันที่ดีกับสภาสูง และไม่มีเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เหมือนกับกรณีของพรรคก้าวไกลให้ถูกสกัด แต่ถึงตรงนี้ไม่มีใครสามารถการันตีได้ 100% ว่าอีก 61 เสียงจะให้แน่ๆ
อีกทั้งท่าทีของ สว.หลายคนที่อยู่ในสายอำนาจเก่า แสดงออกมาแปลกๆ จนผู้คนสับสนและหวาดระแวง ไม่ว่าจะเป็นนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่กำลังตรวจสอบพฤติกรรมของนายเศรษฐาเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีที่ดินที่มีการร้องเรียนเข้ามา โดยได้มีการขอเอกสารไปยังสำนักงานที่ดินแล้ว นอกจากนี้ยังไม่การันตีว่าชื่อของนายเศรษฐาจะฉลุย ต่อให้วันนี้จะมีพรรค 2 ลุงอยู่ร่วมแล้วก็ตาม
“แม้ว่าทั้ง 2 พรรคจะไปรวมกับพรรคเพื่อไทยได้ แต่ไม่เชื่อว่าจะมี สว.โหวตตาม เพราะ สว.ก็มีหลักในการพิจารณาผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นบุคคลที่ไม่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่แก้มาตรา 112 ไม่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ”
ซึ่งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ประกอบกับคลิปการให้สัมภาษณ์ของนายเศรษฐาเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ที่มีการขุดกันขึ้นมา คำพูดนายเสรีจึงน่าสนใจ
เช่นเดียวกับท่าทีของนายจเด็จ อินสว่าง สว.อีกราย ที่ออกมาแสดงความเห็นว่าชื่อของนายเศรษฐาจะผ่านยาก โดยอ้างว่า สว.ยังติดใจประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ในทางธุรกิจ ตามที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีการซื้อขายที่ดิน แต่นายเศรษฐาไม่เคยออกมาชี้แจงให้ชัดเจน
ดูเหมือนว่า สว.กำลังให้น้ำหนักกับความเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์อย่างมาก
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวสกัดนายเศรษฐาของนายชูวิทย์ เรื่องการหลบเลี่ยงภาษีการซื้อขายที่ดินสมัยทำธุรกิจนั้น สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสังคม และกำลังสร้างปัญหาให้กับทั้งนายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย
และว่ากันตามสิ่งที่เห็นคือ สังคมให้เครดิตและความน่าเชื่อถือกับนายชูวิทย์ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะออกมาแฉหรือพูดอะไรก็ตาม
สังคมไม่ได้มองว่านายชูวิทย์มีนัยทางการเมืองอะไรหรือไม่ หรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่โฟกัสกันว่านายเศรษฐาทำจริงหรือไม่
กลายเป็นภาพลักษณ์ของนายเศรษฐาขณะนี้กำลังติดลบจากการความเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์
และยังไม่รู้ว่า วันที่ 21 สิงหาคมนี้ ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรี 1 วัน ซึ่งนายชูวิทย์ระบุว่าจะเปิดหลักฐานเกี่ยวกับการให้นอมินีซื้อที่ดินนี้ จะมีหลักฐานอะไรที่สั่นสะเทือนการเมืองไทยอีกหรือไม่ เพราะหากเป็นหลักฐานเด็ด เชื่อว่าส่งผลต่อการตัดสินใจโหวตนายกรัฐมนตรีของ สว.แน่
แม้หลายพรรคการเมืองที่ตอบรับเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยจะไม่ติดใจเรื่องที่นายชูวิทย์ออกมาเคลื่อนไหวสกัดนายเศรษฐา แต่ สว.กลับไม่ได้คิดอย่างนั้น
กอปรกับในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์นี้ แม้พรรคเพื่อไทยจะชัดเจนว่าเสนอชื่อนายเศรษฐา แต่กลับยังมีกระแสข่าวออกมาเป็นระลอกว่าต้องการจะให้ อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยอีกคนเป็นผู้นำมากกว่า
มีการพูดกันถึงขั้นว่า ต้องการจับ "อุ๊งอิ๊ง" เป็นตัวประกัน เพื่อไม่ให้พรรคเพื่อไทยหรือเจ้าของพรรคตุกติกในภายหลัง
ดังนั้น ที่ว่าคะแนนของ "เศรษฐา" ล้นๆ นั้น ล้นจากแค่เพียง สส.อย่างเดียวหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับ สว.?
หรือที่สุดเรื่องนี้จะเป็น เกมลวง ให้พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐาตายใจ เพื่อล่อไปตกสวรรค์ในสภา?
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ความหวาดระแวงมันยังไม่ได้หมดสิ้น
ที่ว่าจะม้วนเดียวจบ 22 สิงหาคมนี้ อย่านิ่งนอนใจ การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ไม่มีตัวปลอม”ในเวทีเจรจา เหตุใดไปไม่ถึงโจทย์ดับไฟใต้?
เหตุการณ์รุนแรงที่หน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) เสียชีวิต 2 ราย ยังไม่นับเหตุการณ์ในจุดอื่นที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกหลายราย
'นายกฯอิ๊งค์' หัวโต๊ะบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุยมาตรการดันจีดีพีโตทะลุ 3%
'นายกฯอิ๊งค์' นั่งหัวโต๊ะถก คกก.กระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้ 1 ปีที่ผ่านมา ศก.แนวโน้มดีขึ้น ลุยมาตรการกระตุ้นต่อ เชื่อปี 68 โตมากกว่า 3 %
ปธ.สภาฯดับเครื่องชนฝ่ายค้าน สัมพันธ์ลึก ทักษิณ-วันนอร์ กับดีลการเมือง"เจ้าสัว"คนดัง
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้สัมภาษณ์ 2 รอบย้ำชัดๆ ฝ่ายค้านต้องแก้ไขเนื้อหาใน ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
'ขัดแย้งไป-เคลียร์ไป'ลากรัฐบาล คดีกวนใจ'นายใหญ่'กับเกมยึดอาวุธลับ
“ไม่สามารถคาดเดาว่าระเบิดลูกไหนจะทำงานก่อน และส่งผลให้เกิดการล้มกระดานไปเร็วก่อนครบวาระ จึงต้องค่อยๆ เก็บเบี้ยตัวสำคัญ และอาวุธลับที่ใช้เผด็จศึกศัตรูให้มาอยู่ในมือตัวเองมากที่สุด พร้อมไปกับเช็กทิศทางขององค์กรที่ชี้เป็นชี้ตาย”
รับฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ เกมยาว 'สีน้ำเงิน-สีแดง'
คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นคดีพิเศษแล้ว ท่ามกลางกระแสความกดดันระหว่าง สว.สายสีน้ำเงิน ที่มีการเปิดศึกถล่มกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถึงความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานฝั่งตรงข้ามรัฐบาลเสมอ
“DSI-สว.สีน้ำเงิน” เผชิญหน้า เสียงเตือน “วิกฤตการณ์” ที่รออยู่
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มสีน้ำเงิน ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)