เลื่อนโหวตนายกฯ 27 ก.ค. ต่อลมหายใจ'พท.'ตั้งรัฐบาล

.เป็นไปตามคาดกับการที่มีการเลื่อนประชุมรัฐสภาเพื่อ โหวตนายกรัฐมนตรี ออกไปจากเดิมที่จะต้องโหวตกันพฤหัสบดีที่ 27 ก.ค.นี้

หลังพบว่าสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งใน เชิงการเมืองและเชิงข้อกฎหมาย ติดล็อกหลายจุด ทำให้เกิดสภาพอึมครึมในการจัดตั้งรัฐบาลและการโหวตนายกฯ ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ กำลังเข้าถึงมุมอับ

เพราะถึงตอนนี้ พรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนจาก สส. ที่ไม่ได้อยู่ในพรรคการเมือง8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลมาเพิ่มได้ ยังคงมีแค่ 311 เสียงเหมือนเดิม แต่การโหวตนายกฯ จะต้องได้เสียงเห็นชอบ 375 เสียง เพราะหลายพรรคการเมืองที่ส่งเทียบเชิญมาคุย ทั้งภูมิใจไทย-ชาติพัฒนากล้า-รวมไทยสร้างชาติ-ชาติไทยพัฒนา-พลังประชารัฐ รวมถึงประชาธิปัตย์ 25 เสียง ที่แม้จะไม่ได้ไปร่วมพูดคุยกับแกนนำพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะประชาธิปัตย์ไม่มีผู้นำพรรคตัวจริงในเวลานี้ แต่ประชาธิปัตย์ก็แสดงออกเหมือนกับพรรคอื่นๆ คือยังคงตั้งป้อมไม่ร่วมสังฆกรรม-ไม่ร่วมโหวตสนับสนุนให้คนที่เพื่อไทยเสนอชื่อเป็นนายกฯ หากยังมีพรรคก้าวไกลอยู่ร่วมด้วย ด้วยเหตุผล ไม่เอาด้วยกับการแก้ไข 112 ของพรรคก้าวไกล

ขณะเดียวกันสุ้มเสียงในสภาสูง แม้แกนนำพรรคเพื่อไทยจะมีการเปิดดีลขอคุยกับ สว.หลายคน แต่ก็ได้เสียงสนับสนุนไม่เยอะ คือมีมากกว่า 13 เสียงที่เคยโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ข่าวว่าต่อให้เบ่งเต็มที่ก็ได้เสียง สว.มาเพิ่มไม่เกินระดับ 30 คน จากที่ต้องได้ประมาณ 64 เสียง กรณีไม่สามารถหาเสียง สส.มาเพิ่มได้

ส่งผลให้การหาเสียงมาสนับสนุนคนของเพื่อไทยขึ้นเป็นนายกฯ แกนนำพรรคเพื่อไทยจึงยังไม่มั่นใจว่าจะได้ถึง 375 เสียง เพราะติดล็อกไปทุกทาง

จนมีข่าวว่าแกนนำเพื่อไทยต้องการให้มีการเลื่อนการโหวตนายกฯ ออกไปเป็นสัปดาห์หน้า เพื่อขอเวลาในการตัดสินใจมากขึ้นว่าจะตั้งรัฐบาลสูตรไหน

สิ่งที่เพื่อไทยต้องการก็พอดีกับมติผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อ 24 ก.ค. ให้ส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อ 19 ก.ค. ที่ลงมติด้วยคะแนนเสียง 395 เสียง ไม่ให้มีการเสนอชื่อนายกฯ ซ้ำได้เป็นครั้งที่สอง หากเสนอรอบแรกแล้วได้เสียงเห็นชอบไม่เกินกึ่งหนึ่ง เพื่อให้วินิจฉัยว่ามติดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญว่าด้วยการโหวตเลือกนายกฯ ตามมาตรา 272 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 41 หรือไม่ พร้อมกับขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ชะลอหรือเลื่อนการโหวตนายกฯ ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ที่ล่าสุด ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้วเมื่อ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการนำคำร้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 26 ก.ค.นี้หรือไม่?

 ข่าวบางกระแสก็บอกว่าไม่น่าจะทัน แต่บางกระแสก็บอกว่าไม่แน่ หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน และมีผลต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้การโหวตนายกฯ ของฝ่ายนิติบัญญัติไม่ต้องมาสะดุดลง หรือต้องรอนาน จะได้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมาย ทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็อาจนำคำร้องมาเพื่อพิจารณาไปเลยว่าจะ

รับ-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย

แต่หากคำร้องดังกล่าวยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสัปดาห์นี้ ก็อาจเป็นสัปดาห์หน้าก็ได้

จากทั้งสองเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะตัดสินใจงดการประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯ 27 ก.ค. เพราะอย่างน้อย ตัวประธานรัฐสภาก็จะได้ลดความเสี่ยงของตัวเองด้วย หากจะมีการนัดประชุมร่วมรัฐสภาโหวตนายกฯ แล้วเกิดมีปัญหาทางข้อกฎหมายตามหลังมา จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

 ขณะที่ในทางการเมือง ทำให้ การเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมือง ลดทอนความตึงเครียดลง มีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก็มีการประเมินว่ามีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่ศาลรัฐธรรมนูญอาจ ไม่รับคำร้อง ของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้วินิจฉัยก็ได้ เพราะมองว่ามติของที่ประชุมรัฐสภาดังกล่าวสำเร็จแล้ว และเป็นการใช้อำนาจของเสียงส่วนใหญ่ ตามกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ตามโครงสร้างระบอบการปกครองฯ ที่แบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือ บริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจพิเศษลักษณะองค์กรศาล จึงไม่ควรไปก้าวก่ายหรือยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายนิติบัญญัติ ที่สมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่ลักษณะประชาธิปไตยผ่านตัวแทน (representative democracy)

คนจึงมองว่าหากศาลไปรับคำร้องไว้วินิจฉัย แล้วต่อมามีคำวินิจฉัยใดๆ โดยเฉพาะในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับมติดังกล่าว มันอาจขัดกับ หลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) ขึ้นได้

ผนวกกับมีการไปดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญฯ ก็พบว่าไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีผลบังคับใช้แล้วได้ ทำได้แค่พิจารณากรณีที่ยังเป็นแค่ร่างข้อบังคับเท่านั้น ดังนั้นหากศาลไปพิจารณาก็อาจเป็นการพิจารณาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ

ยิ่งการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาล​กำหนดการชะลอพิจารณานายกฯ ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ​จะมีคำวินิจฉัย ก็มีการมองกันว่าหากศาลรัฐธรรมนูญรับลูกแล้วออกคำสั่งดังกล่าว จะเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ที่จะเกิดปัญหาตามมามากมาย หากศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตุลาการทางศาล (Courts) ไปก้าวล่วง-สั่งการฝ่ายนิติบัญญัติที่อยู่ในโครงสร้างระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ที่อาจเป็นการใช้เขตอำนาจแบบล้ำเส้น

อันแตกต่างจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ สส.หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ เช่นกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เป็นการสั่งโดยมีกฎหมายรองรับที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน และเป็นการสั่งกรณีเป็นตัวบุคคล ไม่ใช่การสั่งให้ฝ่ายนิติบัญญัติใช้อำนาจหรือไม่ใช่อำนาจที่ตัวเองมี กระทำหรือไม่กระทำการใดๆ

จึงมีการประเมิน วิเคราะห์กันจากบางฝ่าย เช่น จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ปฏิบัติหน้าที่มาร่วม 11 ปี ที่วิเคราะห์ว่า คำร้องดังกล่าวของผู้ตรวจการแผ่นดินอาจออกมาสองแนวทาง คือ

1.ศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่รับคำร้อง เพราะไม่เข้าข่ายที่จะรับเรื่องไว้วินิจฉัยได้ ที่ก็จะทำให้คำร้องตกไป ทางรัฐสภาก็เดินหน้าประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ไปตามปกติ

2.ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้วินิจฉัย แต่สุดท้ายจะยกคำร้อง

 ด้วยเหตุผลเรื่องข้อกฎหมาย และเรื่องขอบเขตการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่สามารถก้าวล่วงกิจการภายใน หรือการใช้อำนาจของรัฐสภาผ่านรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาได้ โดยตอนรับคำร้องก็ไม่น่าจะมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการโหวตนายกฯ ไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอดูว่า 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปฏิบัติหน้าที่ปัจจุบัน จะเห็นด้วยกับแนวทางการวิเคราะห์ของนายจรัญดังกล่าวหรือไม่ โปรดติดตาม?

กระนั้น ถึงต่อให้ผลคำวินิจฉัยออกมาแบบพลิกล็อก คือศาลรับคำร้องและมีคำวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ สามารถเสนอชื่อซ้ำได้หากรอบแรกไม่ผ่าน

ถ้าออกมาแบบนี้ มองดูแล้วมันก็ไม่มีผลต่อพิธา เพราะ สว.คงไม่เปลี่ยนใจมาโหวตให้พิธาจนเสียงถึง 375 เสียงอยู่ดี แต่มันจะมีผลกับเพื่อไทยมากกว่าหากออกมาแบบนี้

เพราะจะทำให้เพื่อไทย ถ้าจะเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน ชิงนายกฯ ก็เท่ากับจะเสนอได้สองครั้ง

 ทำให้การเดินเกมโหวตนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยจะเปลี่ยนไปทันที.   

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นพดล' ฟังทางนี้! 'หมอวรงค์' จับโป๊ะ คำชี้แจง 'MOU 44'

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "ถึงนพดล ปัทมะ" โดยระบุว่า คำพูดของนายนพดล ปัทมะ ที่ชี้แจงพันธมิตรฯ เรื่อง MOU 44

ปธ.'รูทีนตีนตุ๊กแก' ลั่นตำแหน่งนี้ สส. เลือกมา นิติบัญญัติ-บริหารต้องแยกกัน

'วันนอร์' ไม่หวั่นฝ่ายการเมืองเลื่อยขาเก้าอี้ประธานสภาฯ ย้ำเป็นอำนาจสมาชิกรัฐสภา ต้องแยกฝ่ายนิติบัญญัติ-บริหาร ชี้ตำแหน่งนี้ สส. เลือกมา ลั่นหากต้องการเปลี่ยนเสนอญัตติมาได้

พ่อบงการ ลูกตามสั่ง

“พ่อบงการ ลูกตามสั่ง” ผ่าน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” คงไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มีคำบัญชาผ่านเวทีต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ก็สนองนโยบายทันที โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะขาดความน่าเชื่อถือ และยำเกรงต่อกฎหมายมิให้คนนอกเข้ามาครอบงำแต่อย่างใด”.

ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’

“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน

'วันนอร์' ลุยถกแก้รธน. 14-15 ม.ค. ถือเป็นข่าวดีปีใหม่ หวังทันเลือกตั้งปี 70

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ว่า ได้คุยกับวิป 3 ฝ่ายไปแล้วว่าเรามีร่างรัฐธรรมนูญที่แก้รายมาตรา 17 ฉบับ และยังมีร่างที่แก้ทั้งฉบับของพรรคประชาชน(ปชน.)