ก่อนพรรคก้าวไกลจะเซ็น เอ็มโอยู กับอีก 7 พรรคที่จะร่วมกันตั้งรัฐบาลไม่กี่ชั่วโมง กลับปรากฏข่าวลือเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐ
ข่าวลือดังกล่าวเกี่ยวกับตัว บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ในทำนองว่าจะวางมือทางการเมือง โดยเริ่มจากการสละสิทธิ์ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 และเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
และก่อนการประชุมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะมีการสลายพรรคพลังประชารัฐเพื่อเปิดทางให้ ส.ส.ได้ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย
ข่าวลือนี้เกิดขึ้นทั้งที่พรรคพลังประชารัฐอยู่ในภาวะหยุดนิ่งมากว่าสัปดาห์ หลัง บิ๊กป้อม สั่งสมาชิกพรรคทุกคนรูดซิปปากอยู่ในที่ตั้ง ไม่ให้ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง หรือเคลื่อนไหวใดๆ จนกว่าคำสั่งจะเปลี่ยนแปลง
หลังปรากฏเป็นข่าว แกนนำพรรคพลังประชารัฐหลายคนไม่กล้าแสดงความเห็น หรือให้สัมภาษณ์ออกสื่อ เพราะไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ กระทั่งช่วงเย็นวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่พรรคพลังประชารัฐได้รับมอบหมายจากผู้บริหารพรรคให้เชิญสื่อมวลชนมาร่วมสัมภาษณ์ประเด็น "ทิศทางการขับเคลื่อนพรรค พปชร.หลังการเลือกตั้ง ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" ในเวลา 13.00 น. วันที่ 23 พ.ค. ณ ที่ทำการพรรค
โดยวางตัวนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค เป็นผู้ชี้แจงถึงประเด็นข่าวลือ ก่อนที่จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่พรรคจะแจ้งขอยกเลิกกำหนดการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว
กระทั่งเช้าวันต่อมา นายสันติ ออกมาสยบข่าวลือว่าเป็น เฟกนิวส์ จากผู้ไม่หวังดีกับพรรค
"ไอ้ข่าวพวกนี้น่าจะเป็นเฟกนิวส์ ที่มาสร้างกระแสลบแก่พรรคมากกว่า หัวหน้าพรรคก็ยืนยันกับผมตลอดว่าท่านจะทำงาน เป็นหัวหน้าพรรคอย่างเข้มแข็ง ไม่มีอะไรเลย"
อย่างไรก็ดี แม้พรรคพลังประชารัฐจะออกมาปฏิเสธ และแม้ทางพรรคเพื่อไทย โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค จะยืนยันครั้งที่ 501 แต่ความหวาดระแวงในเรื่องนี้กลับยังไม่เคยหายไป
เพราะในวงการเมืองยังเชื่ออยู่บนสมมุติฐานที่ว่า พรรคเพื่อไทยทำงานกับพรรคพลังประชารัฐง่ายกว่าพรรคก้าวไกลและสบายใจกว่า โดยเฉพาะนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ล่อแหลม ละเอียดอ่อน
และยิ่งชื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีโอกาสถูกคว่ำมากขึ้นเท่าไหร่ พรรคการเมืองจากอีกขั้วยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ เพราะหากพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลเองแล้วดึงพรรคพลังประชารัฐมาเข้าร่วม เสียงในการโหวตนายกรัฐมนตรีจะสามารถทะลุ 376 เสียงได้ไม่ยาก เพราะได้ออปชันเรื่องเสียง ส.ว.เข้ามาสนับสนุน ต่างจากชื่อของนายพิธา
เช็กขุมกำลังเสียง ส.ว. 250 คน พบว่า ส.ว.สายของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กับ บิ๊กป้อม เมื่อรวมกันแล้วมีถึง 180 คนทีเดียว
เพียงแต่การพลิกขั้วของพรรคเพื่อไทยไม่สามารถกระทำได้ง่าย โดยเฉพาะในภาวะน้ำเชี่ยวกราก กระแสสังคมกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดอย่างนี้
พรรคพลังประชารัฐเองรับรู้ถึงสถานการณ์ดังกล่าวดี ว่าฉากนี้ตัวเองไม่มีบทพูด จึงพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ โดยปล่อยให้กลไกเดินไปตามวิถีปกติ กระทั่ง สุดทาง ด้วยตัวมันเอง
สถานะคล้ายกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีข่าวลือทำนองเดียวกันออกมาก่อนหน้านี้ว่า ผู้มีอำนาจในพรรคปัจจุบันอยากจะเป็นรัฐบาล เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในสถานะกำหนดชะตาชีวิต
พรรคเหล่านี้จะมีบทบาทต่อเมื่อเกิดการพลิกขั้วเท่านั้น
โดยลึกๆ แกนนำพรรคพลังประชารัฐหลายคนต่างอยากเป็นรัฐบาลทั้งนั้น โดยเฉพาะในมุ้งที่หมดกระสุนไปเยอะกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้ประสงค์ที่กัดก้อนเกลือเพื่อกอดอุดมการณ์
ขณะที่นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐหลายคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทย เพราะเคยมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน เคมีตรงกันมากกว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลเสียอีก
และด้วยบริบทที่มันยากต่อการจะเข็น บิ๊กป้อม นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ด้วยปริมาณ ส.ส.เพียง 40 คน กับกระแสธารสังคมที่ต่อต้าน มันจึงมีการคิดสูตรเพื่อเปิดช่องให้สามารถมาร่วมกับพรรคเพื่อไทยด้วยแรงเสียดทานที่ไม่มากคือ การดึง บิ๊กป้อม ไปอยู่หลังฉาก เพื่อให้เห็นว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคของลุงแล้ว
สำหรับตัว บิ๊กป้อม เองไม่ได้ซีเรียสกับเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแต่อย่างใด และรู้ตัวดีว่าปริมาณ ส.ส.ที่มีอยู่และกระแสสังคมมันไม่ได้ทำให้เป็นตัวกำหนดเกม
เพียงแต่วันนี้มันยังเป็นแค่สูตรที่มีแกนนำบางคนคิดขึ้นมา ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเอาอย่างนี้ เพราะต้องรอดูสถานการณ์ในห้วงที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้รับรองผลการเลือกตั้ง และยังไม่ได้มีการโหวตนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้น ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรอีกหรือไม่
และต่อให้วันนี้พรรคเพื่อไทยจะออกมาปฏิเสธข่าวลืออย่างไร นพ.ชลน่านจะพูดกี่ครั้งว่าไม่จับมือ หรือพรรคพลังประชารัฐจะมายุบรวม แต่สุดท้ายในทางการเมืองมันไม่มีน้ำหนัก เพราะเรื่องการตัดสินใจต้องฟังจาก ตัวจริง ของพรรคเท่านั้น
และจริงๆ ความนิ่งของพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ มันเป็นสัญญาณหนึ่งทางการเมืองว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังเดินหน้ากันอยู่ มันยังไม่นิ่ง และยังไม่จบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง
จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567
ยากจะขวาง‘โต้ง’นั่งปธ.บอร์ดธปท. แนวต้านขอสกัดจนนาทีสุดท้าย!
แม้จะมีข่าวว่า กรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเลือก เสี่ยโต้ง-นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่