'เพื่อไทย' ปล่อย 'ก้าวไกล' ฟอร์มรัฐบาล จับอาการ ‘หนุน’ ไม่เต็มแรง

ไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเรียกตัวเองว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรี 

พร้อมประกาศรายชื่อพรรคการเมืองที่จะนำมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม โดยรวมแล้วมีทั้งหมด 309 เสียง หรือเกินกึ่งหนึ่งของเสียงสภาผู้แทนราษฎร 

ขณะที่ พรรคเพื่อไทย พรรคอันดับ 2 ออกมานั่งแถลงการณ์ นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค  

สรุปใจความแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยได้ว่า ยอมรับกับการที่พรรคก้าวไกลเสนอตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล, เห็นด้วยที่จะเชิญพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมและพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาล, ยินดีให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกล และไม่มีแนวคิดจัดตั้งรัฐบาลแข่ง, ประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลเป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคอันดับ 1 เป็นผู้ดำเนินการ 

ส่วนประเด็นเสียง ส.ว.ที่ต้องหามาเพิ่มให้ได้ 376 เสียงนั้น นพ.ชลน่าน ใช้คำพูดว่า “เป็นภาระหน้าที่พรรคแกนนำต้องแสวงหาให้ได้”  

ในส่วนของเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เป็นนโยบายหลักของพรรคก้าวไกลนั้น น.ส.แพทองธาร ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่สนับสนุนให้มีการยกเลิก แต่สามารถนำเรื่องนี้เข้าไปพูดคุยในสภาได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองมีคำตอบอยู่ในใจ   

อย่างไรก็ดี หากถอดรหัสภาษาพูดและภาษากายของพรรคเพื่อไทย ณ วันนี้ การประกาศสนับสนุนพรรคก้าวไกล โดยไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่ง แต่ปล่อยให้พรรคก้าวไกลแสวงหาคะแนนจากทั้ง ส.ส.และ ส.ว.เอง มันคือความชัดเจนที่ไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ 

 เพราะการให้พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ถือเป็นมารยาทพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว  

อีกทั้งวันนี้กระแสความนิยมไหลไปทางพรรคก้าวไกล หากพรรคเพื่อไทยทำตัวไม่น่าไว้วางใจ โดยคิดจะจัดตั้งรัฐบาลแข่งตั้งแต่เริ่มต้น อาจจะทำให้ทางเดินในสนามการเมืองลำบาก 

แต่จุดที่น่าสนใจคือ การปล่อยให้พรรคก้าวไกลแสวงหาเสียงเอาเอง ไม่ว่าจะเป็นจากทั้ง ส.ส.และ ส.ว. ซึ่งฟังดูเหมือนซัพพอร์ตกันไม่เต็มที่เท่าไหร่ ทั้งที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน มันเลยทำให้ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ว่า จะไปด้วยกันตลอดรอดฝั่งหรือไม่  

เนื่องจากตามมารยาททางการเมืองแล้ว หากพรรคอันดับ 1 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคอันดับ 2 จะได้สิทธิ์นั้นในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลต่อ 

แน่นอนว่า วันนี้พรรคก้าวไกลอาจจะรวมเสียงได้ 309 เสียง แต่มันยังไม่เพียงพอที่จะพา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ที่ต้องการถึง 376 เสียง
ขณะที่วันนี้ ส.ว.หลายคน ออกมากันท่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีชื่อนี้กันแล้ว ดังนั้นต่อให้รวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่หากไม่สามารถได้ 376 เสียง ในที่ประชุมร่วมรัฐสภาตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พิธา ก็ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลได้  

และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง จะต้องเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอื่น ซึ่งสิทธิ์นั้นโดยชอบธรรมคือ พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับ 2  

 แต่ต่อให้เป็นพรรคเพื่อไทย หากยังใช้เสียงสนับสนุนเดิมคือ 309 เสียง โอกาสที่จะไปติดหล่มในที่ประชุมร่วมรัฐสภาตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะมีอีกเช่นกัน 

ยกเว้นเสียแต่ว่า พรรคเพื่อไทยหาเสียงสนับสนุนเพิ่มได้จาก ส.ส.หรือแม้แต่ ส.ว.เอง ซึ่งข้อจำกัดของพรรคเพื่อไทยนั้นน้อยกว่าพรรคก้าวไกล  

โดยเฉพาะหากวันข้างหน้า ทั้ง พรรคพลังประชารัฐ หรือแม้แต่ พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่มี 2 ลุง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยออกมาประกาศว่าจะไม่จับมือด้วย ไม่อยู่แล้ว  

โดยเฉพาะ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมเอง ที่น่าจะวางมือทางการเมือง หลังเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ถึงเป้าที่วางไว้ 

นอกจากนี้ เพดานของพรรคเพื่อไทยไม่ได้สูง และไม่ได้สุดโต่งเหมือนกับพรรคก้าวไกล อาจจะมีลุ้นได้เสียงจาก ส.ว.บ้าง 

 และจะไม่ถูกมองว่า หักหลังพรรคก้าวไกล ในเมื่อได้ให้การสนับสนุนและเปิดทางให้พรรคก้าวไกลเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ได้จัดตั้งแข่ง 

ซึ่งพรรคเพื่อไทยกำลังถูกจับตามองอย่างมากว่า กำลังเล่นเกม ไหลตามน้ำ เพื่อให้ที่สุดเข้าทางของตัวเอง    

เพราะเริ่มมีข่าวลือออกมาเหมือนกันว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเก่าบางคนกำลังเดินสายล็อบบี้ ผู้มีอำนาจตัวจริง ในแต่ละพรรคแบบเงียบๆ บ้างแล้ว...  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

เพื่อไทยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร คนรุ่นใหม่เพียบ ดึงคนใกล้ชิดมดดำ เสริมทีมเลือกตั้ง

เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย คนรุ่นใหม่เพี๊ยบ น้องชาย-คนสนิท มดดำ / มดเล็ก-รวีภัทร์ อดีต สส.กอล์ฟ กาญจนบุรี จั๋ง พงศ์ศรัณย์ อดีตรองเลขาธิการนายกฯ

ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568