การเมืองรุกกองทัพ-แก้ม.112 งัด'ไร้รักไร้ผล-สลายขั้ว'จบสงบ

ดุเดือดกันทุกเวทีปราศรัยสำหรับการหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งเวทีใหญ่ ย่อย ดีเบต เลยไปถึงการลงพื้นที่พบปะประชาชน จนมองกันว่าตลอด 1 เดือนนี้ การต่อสู้ฟาดฟันเรื่องนโยบาย อุดมการณ์การเมือง ขุดเรื่องเก่า เขย่าจุดอ่อน โฆษณาจุดแข็ง รุกทุกเป้าหมาย “โหวตเตอร์” ของแต่ละพรรค จะกลายเป็นปมความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น

ในส่วนของพรรคการเมือง หรือนักการเมือง ที่ผ่านยุคพรรคเทพผสมพรรคมาร การฉีกสัตยาบัน กลืนน้ำลาย พลิกลิ้น พลิกขั้ว ด้วยพลัง “กล้วย” มาได้จนอยู่รอดถึงปัจจุบัน คงมองปรากฏการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ แต่พรรคก้าวไกลดูเหมือนว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับแนวคิดเรื่อง “สลายขั้วความขัดแย้ง” เหมือนนักการเมืองรุ่นใหญ่

พร้อมถือธงยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามพรรคที่มี 2 ป.เป็นแกนนำ ยืนยันไม่มีการจับมือตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน ถือเป็นการเดินคนละทางกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่ยังแทงกั๊กอยู่

ตอกย้ำด้วยท่าทีของ “ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ผมไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยกล้าจัดการรัฐประหาร” ระบุว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

“ผมประกาศจุดยืนพรรคอนาคตใหม่ มีอำนาจเมื่อไร ลบล้างผลพวงรัฐประหารทันที ไม่รีรอ ไม่มีข้ออ้าง ต้องแก้แค้นจึงแก้ไขได้ ผมยกร่างกฎหมายไว้ทั้งหมด พรรคอนาคตใหม่ได้ 81 ส.ส. ไม่พอกับการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ พรรคอนาคตใหม่โดนยุบ พรรคก้าวไกลยืนยันเดินหน้าจัดการลบล้างผลพวงรัฐประหารต่อ...

..วันนี้ พรรคเพือไทย นำโดยชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แถลงเรื่องจัดการรัฐประหารต่างๆ นานา ต้องขออภัยและตะโกนกลับไปดังๆ ว่า… “ผมไม่เชื่อ” ผมเชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องพรรคก้าวไกล ต่างหากที่จะทำเรื่องนี้ ผมอยากเห็นการลบล้างผลพวงรัฐประหาร ผมเลือกพรรคก้าวไกล”

ต้องยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยได้รับผลกระทบหนักตั้งแต่เจ้าของพรรคยันลูกพรรค จากผลของการรัฐประหารที่ผ่านมา จนอาจจะเรียกว่า “เข็ด” และเรียนรู้ว่าควรมีจุดเชื่อมที่มั่นคง ไม่ถูกจับ แพ้ฟาวล์ เหมือนครั้งก่อน โดยเชื่อว่าประตู “สลายขั้วการเมือง” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ น่าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากกว่าทุกครั้ง

ต่างจากพรรคก้าวไกลที่ “ไม่ไว้ใจ” ใน “3 ป.” รวมไปถึงกองทัพ หรือคนที่อยู่ฉากหลังกองทัพ ว่าจะเอื้ออำนวยให้พรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมเข้าไปครองอำนาจต่อไปอีกหรือไม่ ด้วยการเสนอโจทย์ไปที่การลดอำนาจ-ปรับโครงสร้าง เช่น เอาทหารออกจากการเมือง การแก้ไขมาตรา 112 ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ตัดงบประมาณจัดซื้ออาวุธ ลดกำลังพล

ขณะที่ กองทัพ ในยุคที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 22 ซึ่งเป็น ผบ.เหล่าทัพ แสดงออกให้เห็นว่า ในยุคนี้วางตัวเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ออกคู่มือการวางตัวของกำลังพลในการเลือกตั้ง และให้ผู้บังคับหน่วยเข้มงวดกวดขันลูกน้องให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แถมมีปฏิบัติการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” มีการลงโทษด้วยปรับย้ายในโผผู้การกรมบางคนเมื่อเดือนที่แล้ว เพราะมีภาพหลุดไปกินข้าวกับนักการเมือง

หรือการให้สัมภาษณ์ของผู้นำเหล่าทัพ จะงดการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเมือง หรือแม้กระทั่งนโยบายหาเสียงที่พุ่งเป้ามาที่กองทัพ จน “ทักษิณ ชินวัตร” เคยเอ่ยปากชมว่า มองตาแล้ว ผบ.ทบ.คนนี้มีความจริงใจสูง

อย่างไรก็ตาม “กองทัพ” ย้ำเรื่องบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ดังนั้นโจทย์ของผู้นำทางทหารจึงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เพียงแต่การจะออกมาเป็น “ตัวช่วย” ลุงตู่-ลุงป้อม คงเป็นเรื่องยาก เพราะทั้งเงื่อนไข-ปัจจัยในขณะนี้ไม่ได้เอื้ออำนวย และ “สายสัมพันธ์” ที่ห่างรุ่น การยึดโยงด้วยบุญคุณความหลังจากระบบแต่งตั้ง-โยกย้าย ก็เปลี่ยนสมการไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่า “องคาพยพ” ที่เคยขับเคลื่อนเกื้อหนุนเดิมจะหายไป และสายสัมพันธ์ที่ส่งต่อก็ยังทำให้ “กองทัพ” ไม่สามารถสลัดหลุดอย่างสิ้นเชิง จึงไม่แปลกที่พรรคการเมืองจะ ระแวง และ จับผิด เพราะภาพจำที่เกิดขึ้นในอดีตยังคงหลอกหลอนว่าอาจจะเกิดขึ้นซ้ำรอย

จึงเกิดการตั้งข้อสังเกตเรื่องการให้ “พลทหาร” ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า โดยมองว่าสามารถควบคุมการลงคะแนนได้ หรือการเลื่อนปลดประจำการหลังเลือกตั้ง อาจส่งผลให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกับบางพรรคการเมือง

จนกระทรวงกลาโหมต้องแจงว่า แนวทางดังกล่าวเป็นการปิดช่องว่างเรื่องการย้ายทะเบียนเข้า-ออกระหว่างค่ายทหาร-ภูมิลำเนา คาบเกี่ยววันเลือกตั้ง จะส่งผลให้เขาเหล่านั้นเสียสิทธิ์เพราะอยู่ในทะเบียนบ้านไม่ครบ 90 วันตามกฎหมายกำหนด การเลื่อนเวลาการรายงานตัว และการเสนอลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าก่อนปลดฯ เพื่อปิดช่องว่างเท่านั้น

หรือแม้กระทั่งปมเรื่อง “จ่าสิบโท” แฮ็กข้อมูลประชาชน 55 ล้านรายชื่อ มีการพยายามผูกโยงตัวละครทางการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับจ่าคนดังกล่าว แต่หน่วยทหารยังไม่สามารถส่งตัวทหารผู้นี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ามี “เบื้องหน้า-เบื้องหลัง” อาจจะไม่ได้เป็นแค่เรื่องส่วนตัว แต่อาจจะเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ หรืออาจเป็นแค่แพะที่ทำให้เรื่องไม่ถูกสาวไปถึงใคร

เพราะถึงแม้จะเป็นทหารสังกัดหน่วยขนส่ง แต่ปฏิบัติการ “ไอโอ” ที่กองทัพก็ใช้กำลังพลเพื่อพรางภารกิจ กลายมาเป็นข้อสงสัยของหลายฝ่าย และยังเชื่อว่าหน่วยงานในทำนองนี้ยังคงมีอยู่ แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบและยุทธวิธีในการทำงาน ซึ่งไม่รู้ว่าตอบสนอง นาย คนไหน

จนมีการวิเคราะห์ว่า “ปฏิกิริยา” ในการต่อสู้ทางการเมือง โดยมีคนพยายามดึง-ใช้กองทัพสู้ ยังมีอยู่จริง ซึ่งก็อยู่ที่ผู้นำกองทัพในปัจจุบันจะบริหารจัดการในช่วงสถานการณ์เลือกตั้งนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดก็ตามใช้ "กองทัพ” เป็นตัวล่อและตัวชนจนกลายเป็นเงื่อนไข

ยิ่งกระแสยกเลิก-แก้ไข 112 ผนวกเข้ากับการปฏิรูปกองทัพ-ทุบหม้อข้าวหนักหน่วงขึ้นทุกวัน การออกมาทำกิจกรรมของกลุ่มทะลุวัง-ทะลุแก๊ส พ่นกำแพงวัง ชูสัญลักษณ์ “อนาซี” ไม่เอาอำนาจรัฐแบบปัจจุบัน แบม-ตะวัน ถือป้ายถามจุดยืนพรรคการเมืองล้มเลิก 112

พรรคการเมืองที่เป็นหัวหอกโต้กลับทันควัน ปลุกฐานเสียงฝ่ายอนุรักษนิยมให้แสดงพลังกาบัตรเลือกพรรคตัวเอง ทั้งแกนนำพรรคพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ เริ่มมี ปฏิกิริยา ไม่ว่าจะเป็น “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” แกนนำพรรคพลังประชารัฐ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ปราศรัยอย่างดุเดือดว่า

“หัวใจของพรรคคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน มีคนฝากส่งมาเรื่องหนึ่งบอกว่าอย่าลืมเรื่องประเทศไทย คนไทย 70 กว่าล้านคน แต่ทำไมวันนี้เห็นคนไม่กี่คน หยิบมือหนึ่ง สร้างความวุ่นวายปั่นป่วน ทำไมคนไทยไม่รักชาติ ทำไมชังชาติ ทำไมไม่รักสถาบัน ทำไมจะล้มสถาบัน..

..เขาถามผมว่าถ้ามาดูแลบ้านเมืองจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า คำตอบง่ายมาก แผ่นดินไทย ประเทศไทยมีไว้เพื่อคนรักชาติ แผ่นดินประเทศไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ ถ้าคุณไม่ชอบ คุณไม่มีสิทธิ์เปลี่ยน เพราะคนไทยทั้งชาติเขาเอา ถ้าคุณไม่ชอบเชิญไปอยู่ที่อื่น ไม่ห้าม ไปได้เลย ท่านชอบประเทศไหนไปเลย แต่ประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป ภายใต้รวมไทยสร้างชาติเราจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารวมไทยสร้างชาติเป็นแกนนำรัฐบาล เราจะจัดการกับพวกชังชาติ พวกล้มสถาบันโดยเด็ดขาด" หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติระบุ

และสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการร่วมงานวันสถาปนากระทรวงกลาโหมครบรอบ 136 ปี พล.อ.ประยุทธ์ได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ชื่อเพลง ไร้รักไร้ผล ระบุว่า “ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล หากชาติย่อยยับและอับจน ประชาชนจะสุขอยู่ได้อย่างไร” ก่อนทิ้งท้ายว่า ขอให้ช่วยกันนำพาบ้านเมืองไปสู่ความปลอดภัย สันติสุข อย่าให้เกิดวิกฤตการณ์อะไรต่างๆ ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายก็แล้วกัน ในช่วงนี้และช่วงต่อๆ ไป

แม้หลังจากนั้นจะชี้แจงว่าไม่ได้มีนัยอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นการพูดกับข้าราชการของกระทรวงกลาโหมว่าต้องช่วยกันรักษาและสานต่อสิ่งที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ซึ่งเพลงเพลงนี้ก็มีความหมายว่าคนในชาติจะต้องร่วมมือกัน

“ก็ให้ไปคิดกันเอาเองว่าประเทศชาติจะอยู่กันอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพวกเรา และเป็นเรื่องกระบวนการประชาธิปไตยของพวกเธอ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันให้กองทัพไปคิดแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์อธิบายให้ผู้สื่อข่าวฟัง

จากผู้ที่เคยเป็นผู้นำการรัฐประหารปี 2557 ผ่านมา 8 ปีเข้าสู่การเมือง จากกรรมการมาเป็น “ผู้เล่น” ย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไร

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการเมืองและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การใช้สนามการเลือกตั้งนำเสนอแนวคิดที่แตกต่างกันสุดขั้วดีเบตกัน แม้จะหงุดหงิดรำคาญใจ ไม่ร่วมเวที สับหลีกกันบ้าง แต่ก็ยังเดินต่อไปได้

แต่หากมีการยุบพรรค-ตัดสิทธิ์ใคร แบบค้านสายตามวลชนที่เชียร์พรรคนั้น ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความไม่สงบ และไม่จบที่รัฐบาลหลังเลือกตั้ง สัญญาณของบิ๊กตู่อาจบอกเป็นนัยทั้งคนฝ่ายเดียวกันกับฝ่ายตรงข้ามว่าอะไรอยู่ตรงหน้า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’

“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน

นายกฯ เร่งเคลียร์งานก่อนปีใหม่ โชว์แฟ้มเอกสารกองโต

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมรูปภาพแฟ้มเอกสารตั้งบนโต๊ะ ก่อนระบุว่า แฟ้มส่งท้ายปี 2567 และเตรียมงานให้พร้อมสำหรับสวัสดีปีใหม่ 2568ค่ะ

นายกฯ คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่เฟส 4

นายกฯ คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ เฟส 4 ครอบคลุมทั่วไทย 1 ม.ค.2568 ลดแออัด รพ. อำนวยความสะดวกปชช. พร้อมดันสร้างอาชีพ 'นศ.จบใหม่-คนเกษียณอายุ' เป็นนักบริบาล 15,000 ตำแหน่ง

“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง

ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา