สารพัดสูตรการเมืองที่ออกมาช่วงนี้ หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับคับใช้ ทำให้เหล่าบรรดานักการเมืองออกอาการ “หนูติดจั่น” ฮอตไลน์สายตรงเช็กสถานการณ์ พร้อมกับเปิดปฏิทินเช็กความน่าจะเป็นในการยุบสภาและไทม์ไลน์เลือกตั้งทั่วไป
ข้อมูลตั้งต้นที่ต้องสดับตรับฟังก็คงต้องใช้บริการจาก “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ที่เชื่อกันว่าจะสามารถนำไปสกัดเป็นโจทย์ในการคำนวณเวลาได้ง่ายๆ
ไล่เรียงมาได้ ดังนี้
-ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับฟังความคิดเห็น กม.ลูกว่าด้วยการเลือกตั้งในห้วง 15 วัน
-จากนั้นจะนำความเห็นมาปรับปรุงก่อนส่งมาที่คณะรัฐมนตรี คาดว่าจะอยู่ช่วงประมาณเดือน ธ.ค.
-เมื่อรัฐบาลรับร่างดังกล่าวมาแล้วต้องส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจซึ่งใช้เวลา 4-5 วัน คาดว่าต้นเดือน ม.ค.น่าจะส่งถึงสภาได้
-ส่วนร่างของพรรคร่วมนั้นไม่จำเป็นต้องส่งมาที่ ครม. แต่หากคุยกันก่อนเป็นการภายในว่าเพื่อไม่มีข้อขัดแย้งอะไรกันมาก ควรจัดประชุมร่วมกันระหว่าง กกต.กับพรรคร่วมรัฐบาล
-ส่วน กม.ลูกว่าด้วยพรรคการเมืองต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับจะเข้าพิจารณาในสภาพร้อมกัน
ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะของ “คนกลาง” ได้จับเข่าคุยกับ “แก๊ง-ก๊วน” ที่ก่อหวอด “ล้มประยุทธ์” ในสภา ให้อยู่ในแถว-ในแนว เพื่อผ่านพ้นช่วงที่ กม.ลูกเข้าสภาไปก่อน และ “นายกฯ" จะยุบสภาเมื่อจบสิ้นกระบวนการ กม. แต่ในช่วงนี้ต้องมีข้อตกลงไม่ให้มีเกมป่วน-แทงหลัง ในช่วงการประชุมสภาเหมือนเช่นที่ผ่านมา
“นำไปสู่ขั้วใหม่ที่รวมคนจากหลากหลายส่วน ทั้งจากที่ลับและที่แจ้งมาจับมือกัน เพื่อต้านนักการเมืองสีเทาและขั้วเก่าเข้ามาบริหารประเทศ พร้อมยืนยันชูประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ ต่อในสมัยหน้า”
มองได้ว่าข่าวที่ออกมาเป็นการเหยียบเบรกฟากของ "ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่เคยเตะตัดขา “ลุงตู่” ด้วย “ดีล” เก่ากับพรรคเพื่อไทย สร้างสูตรทางการเมืองที่ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ สมัยต่อไป
ด้วยข้อตกลงที่ยึดเอาจำนวนเก้าอี้ ส.ส.หลังการเลือกตั้งเป็นโจทย์ แต่ต้องไม่มีชื่อ "ประยุทธ์" รีเทิร์น
สอดรับกับท่าทีของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ยังอ้อมแอ้มตอบคำถามเรื่องการชู พล.อ.ประยุทธ์อีกสมัย แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่าจะไม่ไปพรรคสำรองพรรคไหนที่มีข่าวว่าตั้งขึ้นมาเป็นหลายพรรคก็ตาม
ท่ามกลางข้อมูลที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยุบสภาหลัง กม.ลูกผ่านหรือไม่ ยิ่งเมื่อผู้สื่อข่าวไปซัก พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องห้วงเวลาที่เหมาะสมในการยุบสภา ก็ได้คำตอบเพียงว่า “ก็สุดแล้วแต่สถานการณ์การเมืองก็ว่ากันไป เราก็อยู่ไปตามกรอบกฎหมาย รัฐธรรมนูญ"
หากมองในแง่องค์ประกอบทางการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ตัดตนเองไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพลังประชารัฐ และให้ “ลุงป้อม” ลงไปทำเกม เป็นนั่งร้านเสริมเก้าอี้นายกฯ ทำให้ตนเองห่างเหินกับ ส.ส.ในพรรค จนทำให้ไม่ค่อยมีนักการเมืองมาเป็นพวก
แต่หลังศึกปรับ ครม.ชิงเก้าอี้ รมต.ในแต่ละครั้ง มีนักการเมืองที่ผิดหวังจนแตกขั้ว เลือกข้าง แยกทางมาถือหาง “นายกฯ” เพื่อคานกับสายที่โหน “ลุงป้อม” จนในที่สุดนายกฯ ก็เริ่มมี ส.ส.-รมต.ในมุ้งของตัวเองบ้างแล้ว
นำไปสู่ขั้วใหม่ที่รวมคนจากหลากหลายส่วน ทั้งจากที่ลับและที่แจ้งมาจับมือกัน เพื่อต้านนักการเมืองสีเทาและขั้วเก่าเข้ามาบริหารประเทศ พร้อมยืนยันชูประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ ต่อในสมัยหน้า
ทำให้มีความพยายามพูดถึงภาพลักษณ์ของ “แป้ง-นาฬิกาเพื่อน” ที่คงไม่มีแรงดึงดูดพอในการดึงเครือข่ายอำนาจและทุนใหญ่ไปจับขั้วด้วย อีกทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้านพรรคใหญ่ที่ไปจับมือแม้จะใช้วิธี “สู้ไปกราบไป” แต่ก็คงยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ หรือเชื่อใจว่าจะ “ซูฮก” ตามที่แสดงออกจริง
ย้อนยุคเข้าสู่การปลุกกระแส “เทพ-มาร” ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเลือกข้างระหว่าง “ตู่-ป้อม”
ดังนั้น ปรากฏการณ์ “แคร์กันน้อยลง” ระหว่าง “ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” จนกลายเป็นมุ้ง “2 ลุง” ที่คาดเดาได้ยากว่าจะรวมตัวอยู่บ้านเดียวกันได้นานแค่ไหน ซึ่งคงต้องรอฟังจาก “ปากพี่ป้อม” ในวันที่ 3 พ.ย.นี้ว่า “เลือดข้นกว่าน้ำ” เป็นจริงอย่างที่ทหารมักชอบพูดกันหรือไม่
ในระหว่างนี้ ทุนแถวหนึ่งและแถวสองต่างรอดูสถานการณ์ภายในพรรคพลังประชารัฐจะไปรอดหรือไม่ เพราะหากในที่สุด “ลุงป้อม” ถูกสิงและเดินตามโมเดลของนักการเมืองที่จัดวางสมการไว้ ก็เชื่อว่าเหล่าบรรดาพรรคสำรองที่หลบซ่อนอยู่หลังฉากก็จะปรากฏตัว สถาปนาพรรคใหม่รองรับ “บิ๊กตู่” เสนอขึ้นเป็นนายกฯ อีกสมัยตามกระแสข่าวที่สะพัดในช่วงนี้
เหล่าบรรดาทุนที่ได้รับอานิสงส์จากการแบ่งเค้กในยุครัฐบาลประยุทธ์มาตั้งแต่ต้น ก็คาดว่าจะ “เทกระจาด” มาทางพรรคการเมืองใหม่
และด้วยสมมุติฐานที่ว่าเมื่อ “ทุน” ไปทางไหน “นักการเมือง” ก็จะไปทางนั้น นำพาให้ “พรรคใหม่” มาแทน พปชร.ได้ ล้มล้างสูตรการเมืองในขณะนี้ให้ล้มไปในที่สุด นำไปสู่การตั้งต้นเจรจากันใหม่เมื่อปี่กลองการเลือกตั้งเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง
สำหรับปัจจัยด้านอื่น เช่น ผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล รวมถึงกลุ่มที่เรียกร้องปฏิรูปสถาบันยังอยู่ในสถานการณ์ทรงๆ เพราะเมื่อเจอคดี-ถูกจับกุมคุมขังอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้มวลชนอ่อนพลังไปมาก ครั้นจะเกาะกระแส “โลกล้อมไทย” ก็ดูเหมือนว่าจะไปไม่รอด เนื่องจากการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงและต่างประเทศของไทย ที่ยัง “ติ๊ดชึ่ง” รักษารูปมวย ทำให้รัฐบาลยังอยู่รอดปลอดภัยดี
ส่วนการสุมไฟด้วยการสร้างความรุนแรง-ก่อความวุ่นวาย จุดพลุความหวาดระแวงระหว่างกองทัพกับรัฐบาล เพื่อสร้างเงื่อนไขล้มกระดาน ก็เหมือนจะไปไม่รอด เพราะการจัดทัพ ปรับสมการจากการโยกย้าย “ทหาร-ตำรวจ” ที่เป็นหัวใจหลักด้วยการดึงอำนาจมาจาก “ลุงป้อม” ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้การนั่งในเก้าอี้นายกฯ ไม่ “ขาลอย-หลังเย็น” จนเกินไป และปลอดภัยขึ้นกว่าเดิม
อนาคตของ “ประยุทธ์” ในการเดินเข้าสู่การเป็นนายกฯ สมัยสอง จึงมีทัพหลังสนับสนุนอยู่พอกำลัง รอเพียงจังหวะที่ได้เปรียบค่อยเปิดประตูสนามเลือกตั้งต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อดีต สส. หอบเหรียญ สมัคร 'นายก อบจ.บุรีรัมย์' วันสุดท้าย
เปิดรับสมัคร 'นายก อบจ.บุรีรัมย์' วันสุดท้าย 'ประเสริฐ' อดีต สส. หอบเหรียญจ่ายค่าสมัคร ได้หมายเลข 5
พ่อบงการ ลูกตามสั่ง
“พ่อบงการ ลูกตามสั่ง” ผ่าน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” คงไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มีคำบัญชาผ่านเวทีต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ก็สนองนโยบายทันที โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะขาดความน่าเชื่อถือ และยำเกรงต่อกฎหมายมิให้คนนอกเข้ามาครอบงำแต่อย่างใด”.
'ลุงป้อม' เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่
'ลุงป้อม' สดใส เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่ ย้ำพระราชเสาวนีย์พระพันปีหลวง ปกป้องป่าให้ลูกหลาน ด้าน ผบ.เหล่าทัพ ทยอยอวยพร 3 ป. วานนี้
ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’
“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน
“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง
ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา
“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”
“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย