ทุนจีนสีเทาโยงใย เป็นเครือข่าย สืบค้นไป-มาบอกได้คำเดียวเจ็บทุกฝ่าย!!
น่าสังเกตว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมเรื่องเพิ่งจะแดง และมาเคลื่อนไหวใกล้ๆ กับช่วงหมดอายุรัฐบาล และกำลังจะมีการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ต้องยอมรับว่าสังคมคิดได้เองแบบไม่ต้องมีใครชี้นำ เขาสงสัยว่าต้องมีเงื่อนงำ มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง หวังสกัดท่อน้ำเลี้ยงพรรคการเมืองหรือไม่ แถมยังได้เปิดแผลดิสเครดิตทางการเมืองอีกด้วย
แต่ถ้ามองในแง่ดีก็ถือว่าทำให้ประชาชนตาสว่าง ไม่มีใครดีกว่าใคร ทำการเมืองแบบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ชาวบ้านรู้ทัน และเป็นการทำการเมืองตกยุคสุดๆ
จะว่าไปเครือข่าย จีนเทา จะไม่เติบโตเลย ถ้าคนในประเทศหันหลังให้ แต่นี่กลายเป็นผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจกลับกวักมือเรียกเสียเอง ตำรวจระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้ชั้นผู้น้อยต้องทำตามคำสั่ง หากง้างจะหมดอนาคตเอาง่ายๆ เมื่อหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ตำรวจเกียร์ว่างด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็ทำให้เกิดเป็นวงจรอุบาทว์กัดกินประเทศ ปล่อยทุนจีนสีเทาแทรกซึม เกิดเว็บพนันออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ ฟอกเงิน ยาเสพติด ค้ามนุษย์
ตามหน้าที่ตำรวจต้องจับโจรผู้ร้ายทุกคน แต่เมื่อเลือกจับจึงกลายเป็นการเลือกปฏิบัติ ดีร้ายบางคดีก็ปล่อยขาดอายุความ บางทีทำสำนวนอ่อน จนอัยการไม่สั่งฟ้อง และศาลยกฟ้อง บางคนไม่รู้ก็ตำหนิศาล อัยการ ทั้งที่ความจริงสำนวนอ่อนไม่รัดกุมตั้งแต่ตำรวจส่งมา
หลายครั้งต้องเดือดร้อนพลเรือนออกมาเคลื่อนไหว ขุดความฟอนเฟะขึ้นมาตีแผ่ ไม่ว่าเบื้องหลังเขาจะออกมาแฉด้วยเจตนาใดก็ตาม แต่ก็น่าเศร้าสลดใจ สะท้อนใจ
รวมถึงเหตุการณ์ ทุนจีนเทา ที่กระฉ่อนอยู่ทั่วประเทศ ณ ขณะนี้ อันที่จริงควรจะเริ่มจากตำรวจสืบค้น แต่กลับกลายเป็นว่าเริ่มต้นมาจาก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาพูดเอง แล้วตำรวจจึงทำงานเป็นลูกไล่ตามรอยที่เสี่ยชูวิทย์แถลง
พอเห็นว่าเป็นประเด็น สื่อมวลชนก็โดดลงมาเล่นด้วย แต่ดันเจอฟ้องร้องเพื่อปิดปาก ไม่เว้นแม้แต่สำนักงานอิศรา ที่เน้นทำข่าวเจาะเชิงลึกตรวจสอบ เปิดโปงนิติกรรมอำพราง การทุจริต ก็โดนฟ้องคดี เพื่อให้หยุดขุดคุ้ย
เมื่อเร็วๆ นี้ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ออกมาเคลื่อนไหวว่า “พบอุปสรรคปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนมากขึ้น เนื่องจากผู้ถูกพาดพิงจากการนำเสนอข่าวมักใช้วิธีการฟ้องร้องเพื่อให้หยุดการนำเสนอข่าว ล่าสุดเป็นกรณีนายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มอบอำนาจให้ทนายความยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในฐานะผู้จัดรายการ “สนธิทอล์ก” ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พร้อมเรียกค่าเสียหาย จำนวน 1,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา”
โดยเฉพาะ ในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อการอภิปรายทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ระหว่างวันที่ 15-16 ก.พ.ที่ผ่านมา มี ส.ส.เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ “กล้าแตะ” ผู้มีอิทธิพล แต่ที่สุดต้องเจอกับคดีหมิ่นประมาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายถึง 100 ล้านบาท
ส.ส.ที่พูดถึงเป็นใครไปไม่ได้ คือ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สวมหัวใจสิงห์ฝ่าดงทีน ลากไส้ อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. มีเอี่ยวกระบวนการฟอกเงิน และเกี่ยวพันเป็นเจ้าของที่ดินที่พรรค “รวมไทยสร้างชาติ” นำมาใช้เป็นที่ตั้งที่ทำการพรรค ทั้งยังโยงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
ล่าสุด ส.ส.รังสิมันต์ เปิดใจว่า “วันนี้เป็นความท้าทายมาก หากกระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่จำเป็นต้องมาพูดอภิปรายนายอุปกิตเลย แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น มันมีพลังงานบางอย่างที่อยู่ด้านหลัง ผมกำลังบอกว่า เราจะปล่อยให้ประเทศของเราเป็นแบบนี้ไม่ได้ ผมเป็นฝ่ายค้าน เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ก็ต้องทำหน้าที่ หากเราเห็นขบวนการเหล่านี้ แล้วไม่ทำอะไรเลย เราจะต่างอะไรกับการเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการเหล่านี้”
ส.ส.โรม ยังบอกต่อว่า "ส.ว.หลายท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ชอบพูดตลอดเวลาว่าเป็นคนดี เป็นคนไม่โกง เป็นคนที่จะเข้ามาทำให้สภานี้สูงขึ้น กรณีนี้ยื่นเรื่องจริยธรรมได้เลย ไม่ต้องให้ตนยื่น เพราะวันนี้หลักฐานชัดแล้ว หากคิดว่า ส.ว.ไม่ควรมีคนแบบนี้ก็ควรไปดำเนินการ แต่ไม่เห็นมีอะไรเลย ส.ว.ทุกคนเงียบหมด แต่เวลาพูดเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์หรือท้าทายประชาชนเก่งเหลือเกิน พอเป็นพวกเดียวกันเกี่ยวข้องกับเรื่องเทาๆ ก็เงียบสนิท"
บทสรุปของเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาอย่างไร และหลายครั้งศาลท่านมอบความยุติธรรมให้ เพราะกระทำตามหน้าที่ เพื่อประโยชน์สาธารณะ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน คนที่กล้าออกมาพูดโดยอิงจากหลักฐานที่เชื่ออย่างสุจริตใจ ทั้งนายรังสิมันต์ นายชูวิทย์ และสื่อมวลชน สะท้อนถึงสังคมไทยยังมีปัญหาธุรกิจสีเทามากมาย ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ในการดำเนินคดีกับธุรกิจสีเทา ทั้ง จีนเทา ไทยเทา กลับเกียร์ว่าง เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ด้วย
ประชาชนในฐานะพลเมือง และฝ่ายนิติบัญญัติ จึงต้องทำหน้าที่อย่างหนัก ทั้งเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย เสี่ยงโดนฟ้องติดคุก ก็ยังหวังว่าเขาจะได้รับความยุติธรรมจากกระกระบวนการยุติธรรมไม่มากก็น้อย ส่วนการ ปฏิรูปตำรวจ ที่เป็นความหวังของประชาชนมาแสนนาน ยังคงริบหรี่เต็มที!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง
จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567
ยากจะขวาง‘โต้ง’นั่งปธ.บอร์ดธปท. แนวต้านขอสกัดจนนาทีสุดท้าย!
แม้จะมีข่าวว่า กรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเลือก เสี่ยโต้ง-นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่
โค้งสุดท้ายศึกนายกอบจ.อุดรฯ เดิมพันสูง พท.VSปชน.แพ้ไม่ได้
นับจากวันจันทร์ที่ 18 พ.ย.ก็เหลืออีกเพียง 7 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ศึกนายกฯ อบจ.อุดรธานี ทำให้ตอนนี้ถือว่าเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายที่จะได้รู้กันแล้วว่า