![p2](https://storage-wp.thaipost.net/2023/02/p2-9.jpg)
จากเรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องดราม่าจนได้กับกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่หลายคนตั้งถามว่าในการนับรวมชาวต่างชาติเป็นราษฎรด้วย โดยจะส่งผลต่อการคำนวณ ส.ส.แบบแบ่งเขต ซึ่งกลายเป็นข้อกังวลขึ้นที่ว่าบางพื้นที่ที่อาจจะได้รับการจัดสรรจำนวนส.ส.น้อย อาจจะได้มากกว่าปกติ
เรื่องนี้ถึงหูนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ และขอให้กกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ฝั่งกกต.เองก็นั่งไม่ติด ออกมาชี้แจงแบบละเอียดหยิบโดยยกคำว่า “ราษฎร” ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2555 โดยพิจารณาจากกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ซึ่งกำหนดให้ทั้งคนสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยต้องปฏิบัติ เช่น การแจ้งการเกิด การแจ้งการตาย การเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน เป็นต้น ดังนั้น
คำว่า “ราษฎร” จึงหมายถึงทั้ง คนสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ที่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
การพิจารณาคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่จะนำมาประกาศเป็นจำนวนราษฎร จะพิจารณาจากบุคคล ที่มีคุณสมบัติสามารถขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน ทั้งนี้เนื่องจากการมีชื่อในทะเบียนบ้าน ท.ร.13 หรือ ท.ร.14 แสดงถึงการมีภูมิลำเนาของบุคคลตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534
ซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่สามารถเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านได้ ประกอบด้วย คนที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ถาวร (มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว), คนที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว (พวกที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย มีหนังสือเดินทาง/วีซ่า), คนที่อพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน (มากกว่า 10 ปี) และรัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล โดยมีมติ ครม.ให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำทะเบียนราษฎรไว้เป็นหลักฐาน เช่น ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
และการประกาศจำนวนราษฎรในอดีตที่ผ่านมา ก็ได้นับจำนวนราษฎรทั้งคนสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยดังกล่าว แต่เป็นการประกาศรวม เพิ่งจะมาแยกจำนวนที่เป็นไทยและจำนวนที่ไม่มีสัญชาติไทยเมื่อการประกาศจำนวนราษฎร ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2557 เป็นต้นมา เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลจำนวนราษฎรในการบริหารหรือดำเนินกิจการในความรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสรุปคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่นำมาประกาศจำนวนราษฎร ได้แก่ บุคคล 3 จำพวก คือ คนที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ถาวร, คนที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว, คนที่อพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน (มากกว่า 10 ปี) โดยไม่รวมกลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
ซึ่งแม้กกต.จะพยายามอธิบายมากแค่ไหน แต่ฝั่งวิชาการ และภาคประชาสังคมมองว่าควรยื่นศาลตีความ และกกต.ก็ได้ส่งศาลตีความเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ กระบวนการของศาลหลังจากนี้ จะดำเนินการไปสู่ ศาลจะแต่งตั้งตุลาการไม่น้อยกว่า 3 คน เป็นผู้พิจารณาก็ได้ เมื่อมีผู้ยื่นคำร้องเข้ามา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็จะส่งเรื่องให้คณะตุลาการดังกล่าวภายใน 2 วันนับแต่วันที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้อง
โดยคณะตุลาการดังกล่าวจะต้องตรวจและมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาภายใน 5 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญโดยในประเด็นนี้คดีเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องบทบัญญัติของกฎหมาย จึงมองว่าน่าจะไม่ใช้เวลานานในการวินิจฉัย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าศาลจะพิจารณาออกมาในรูปแบบไหน ดีหรือเสีย ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งแน่นอน โดยแบ่งเป็น1.ถ้าศาลพิจารณาอย่างเร็วที่สุด และวินิจฉัยเห็นว่าไปเป็นตามรัฐธรรมนูญ ก็จะไม่เกิดผลกระทบอะไรต่อไทม์ไลน์เลือกตั้ง สามารถเข้าสู่ไทม์ไลน์การเลือกตั้งเดิมที่กกต.ได้วางไว้
2.ถ้าศาลพิจารณาล่าช้า แต่วินิจฉัยเห็นว่าไปเป็นตามรัฐธรรมนูญ ก็จะส่งผลแต่เล็กน้อย โดยเฉพาะไทมไลน์การแบ่งเขตที่กกต.ได้กำหนดไว้ว่าจะพิจารณารูปแบบแบ่งเขตให้แล้วเสร็จภาย 20-28 ก.พ.66 ก็เลื่อนออกไปอีก รวมถึงการทำไพรมารีโหวตด้วยที่พรรคการเมืองจะต้องสรรหาผู้สมัครลงสู้ศึกการเลือกตั้งในแต่ละเขต
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังอยู่ในกรอบการเลือกตั้งเดิมเพียง เพียงแต่การทำงานของกกต.หลังจากที่ศาลวินิจฉัย ไปจนถึงวันยุบสภาจะออกมาในรูปแบบไฟลนก้น
3.ถ้าศาลวินิจฉัยว่าความหมายของราษฎรในการแบ่งเขตเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญ จะเกิดผลกระทบต่อการเลือกตั้งแบบเต็มๆ เพราะผอ.กกต.ทุกจังหวัดได้ออกแบบเขตเลือกตั้งของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น
ผลที่ตามมาคือจะทำให้ กกต.จะต้องสั่งให้ผอ.กกต.ทุกจังหวัดออกแบบเขตเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด และต้องออกแบบมากกว่า 3 รูปแบบให้บอร์ดกกต.พิจารณา ซึ่งจะกินเวลาไปสักพักเกินเดือนกว่าจะออกแบบรูปแบบแบ่งเขตใหม่ให้เป็นไปตามที่ศาลวินิจฉัย
เว้นเสียแต่ว่า กกต.จะทำแผนรับมือล่วงหน้าให้ผอ.กกต.ทุกจังหวัดออกแบบรูปแบบแบ่งเขตโดยใช้ราษฎร ที่มีสัญชาติไทยเพียงอย่างเดียวด้วย ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ก็จะส่งผลกระทบไม่มากนักต่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
14 ส.ค.ชี้ชะตา 'ลุงป้อม-พปชร.' ลุ้นสุดท้ายคดี 'เศรษฐา'
ภายใน "พรรคพลังประชารัฐ" ขณะนี้เหมือนจะมี 2 ชุดความคิด ชุดความคิดแรกคือ พรรคจะควรจะอยู่นิ่งๆ ทำตัวเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ดี เพื่อรักษาสถานภาพที่มีอยู่
เศรษฐาเกาะ“มีชัย”หวังชนะคดี เปิดข้อต่อสู้32หน้าขอศาลอยู่ยาว
เมื่อวันอังคารที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้องในคดีกลุ่ม 40 อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นคำร้องให้ศาล รธน.วินิจฉัยกรณี นายกฯ นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดส่ง เอกสารคำแถลงปิดคดี ในคดีดังกล่าวถึงสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
‘ก้าวไกล’ ก้าวสู่ (วันชี้ชะตา)อนาคต
'พรรคก้าวไกล' ปลุกคน เตรียมพล เพื่อผลลัพธ์ต่อไป ภายหลังฟังคำพิพากษา กับการดิ้นเฮือกสุดท้าย ก่อนถึงวันชี้ชะตา
กกต. สบช่องโละยกชุด 'ทีมที่ปรึกษากฎหมาย'
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการการเลือก (กกต.) มีมติให้มีการปรับปรุงคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ใหม่ หลังจากที่ นายบุญส่ง น้อย
'วิโรจน์' โต้ปลุกม็อบด้อมส้ม แค่เปิดพรรคลุ้นคดียุบก้าวไกล
'วิโรจน์' ยันไม่ได้เรียกรวมพลที่ทำการพรรค แค่อำนวยความสะดวก เชื่อ 'ก้าวไกล' ไม่ถูกยุบ ปากแข็งไร้สัญญาณตั้งพรรคใหม่
ก้าวไกลชงนิรโทษฯ 112 แบบมีเงื่อนไข ห้ามทำผิดซ้ำ 3-5 ปี แมตช์วัดใจ พท.-ทักษิณ
เดิมที ศุกร์ที่ผ่านมา 26 ก.ค. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี ชูศักดิ์ ศิรินิล จากพรรคเพื่อไทยเป็นประธาน