นับหนึ่งเตรียมเลือกตั้ง จ่อเคาะแบ่งเขต ภารกิจร้อนกกต.

โรดแมปไปสู่การเลือกตั้ง ถึงตอนนี้เส้นทางชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้มีการเผยแพร่การประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2566 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2566

ที่ก็คือ กฎหมายทั้งสองฉบับที่เป็นกฎหมายสำคัญ ซึ่งเป็นเครื่องมือ-กลไกในการที่จัดการเลือกตั้ง ได้มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้นับจากนี้ เข้าสู่การเริ่ม

นับหนึ่งการเลือกตั้ง

ได้แล้ว เพราะไม่ว่าสุดท้ายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะประกาศยุบสภาก่อน 24 มีนาคม 2566 หรือพลเอกประยุทธ์จะขออยู่ครบเทอม 4 ปี ไปจนถึง 23 มีนาคม 2566 ยังไงก็มีกลไกสำคัญรองรับการเลือกตั้งแล้ว คือกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.และกฎหมายพรรคการเมือง ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ดูจากปัจจัยและสภาพแวดล้อมทางการเมืองทั้งหมด เห็นชัดว่าพลเอกประยุทธ์คง ยุบสภา แน่นอน

เพราะเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองล้วนต้องการให้เกิดสิ่งนี้ เพื่อ ปลดล็อก การสังกัดพรรคการเมืองของคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะหากยุบสภา จะทำให้การสังกัดพรรคการเมืองของคนที่ลงเลือกตั้งเหลือแค่ 30 วันนับถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสูตรที่ฝ่าย รวมไทยสร้างชาติ-พรรคลุงตู่ ก็ต้องการเช่นกัน เพราะหลายพื้นที่ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ยังจัดตัวคนลงเลือกตั้งไม่เรียบร้อยดี ขณะเดียวกัน ส.ส.ในสภา ปัจจุบันที่จะย้ายมารวมไทยสร้างชาติ หลายคนที่อยู่ในพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ ประกาศแล้วจะขออยู่เป็น ส.ส.จนถึงหลังสภาปิด 28 ก.พ. ทำให้หากไม่ยุบสภา จะทำให้การสังกัดพรรคจะกลายเป็น 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง ที่จะส่งผลให้หลายคนที่จะย้ายมารวมไทยสร้างชาติอาจฟาวล์ได้ เพราะเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ครบ 90 วัน

  การยุบสภา จึงเป็นทางเลือกตั้งที่พลเอกประยุทธ์ต้องทำเช่นนั้น เพื่อให้ทุกพรรคการเมืองได้กันหมด รวมถึงรวมไทยสร้างชาติด้วย 

ที่ก็คาดหมายกันว่า พลเอกประยุทธ์อาจจะยุบหลังสภาปิดสมัยประชุม 28 ก.พ. คือไป ยุบช่วงมีนาคม เพื่อให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ เพราะตามรัฐธรรมนูญ หากมีการยุบสภา ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่แค่ช่วงเต็มที่ไม่เกิน 45 วันเท่านั้น คงไม่ลากยาวจะขอจัดเลือกตั้งถึง 60 วันหลังยุบสภา

ถ้าเป็นไปตามนี้ หากนายกรัฐมนตรียุบสภาช่วงกลางเดือนมีนาคม ก่อนสภาครบวาระหนึ่งสัปดาห์ ก็จะไปเลือกตั้งกันช่วงปลายเดือนเมษายน หลังสงกรานต์ ซึ่งทุกพรรคการเมืองน่าจะขานรับ

 อีกทั้งหากพลเอกประยุทธ์ไปยุบสภา ก่อนการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ที่จะอภิปรายกัน 15-16 ก.พ. ตัวนายกฯ จะถูกหาว่ายุบสภาหนีการถูกอภิปรายทั่วไป

 ขณะเดียวกัน การยุบสภาช่วงเดือนมีนาคม ในทางการเมือง ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้รวมไทยสร้างชาติมีเวลามากขึ้นในการจัดทัพภายในพรรคเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง เพราะในความเป็นพรรคใหม่ เพิ่งตั้งมาได้ไม่นาน ทำให้การเตรียมพร้อมเลือกตั้งยังตามหลังพรรคอื่นอยู่เยอะ ดังนั้น หากพลเอกประยุทธ์ยุบสภา ช้าที่สุด จะทำให้รวมไทยสร้างชาติมีเวลามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พลเอกประยุทธ์ยังไม่รีบยุบสภา และเป็นปัจจัยสำคัญก็คือ แม้จะมีการประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้งส.ส.และกฎหมายพรรคการเมืองแล้ว แต่กระบวนการเพื่อเตรียมรองรับการเลือกตั้ง ของ กกต.ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร เช่นต้องขอเวลาในการออกระเบียบต่างๆ เพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญเลยคือ การประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ 400 เขต ที่ต้องออกตามระเบียบการเลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ ที่จะเรียกกันว่า ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566

โดยจังหวัดที่ไม่ได้จำนวน ส.ส.เพิ่มขึ้นจากตอนเลือกตั้งปี 2562 ในส่วนนี้จะไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่จังหวัดที่มี ส.ส.เพิ่มขึ้นมา เช่น กรุงเทพมหานคร จากเดิมตอนเลือกตั้งปี 2562 มี ส.ส. 30 คน แต่เลือกตั้งที่จะมีขึ้น จะมี ส.ส.เพิ่มขึ้นมา 3 คนเป็น 33 คน ทำให้ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งการแบ่งเขตเลือกตั้ง เป็นขั้นตอนที่ทาง กกต.กลาง กับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ต้องมาพิจารณาร่วมกัน

โดยเริ่มที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั่วประเทศ ต้องทำพิมพ์เขียวการแบ่งเขตเลือกตั้งออกมาไม่น้อยกว่า 3 รูปแบบ จากนั้นนำการแบ่งเขตดังกล่าว ไปปิดประกาศยังสถานที่ราชการและในเว็บไซต์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น พรรคการเมือง-ประชาชน เป็นเวลา 10 วัน จากนั้นสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดประมวลสรุปภายใน 3 วัน ว่ารูปแบบการแบ่งเขตที่เหมาะสมควรเป็นรูปแบบใด และส่งให้ กกต.กลาง เพื่อพิจารณาชี้ขาดเคาะออกมา แล้วประกาศเขตเลือกตั้ง 400 เขตทั่วประเทศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

นอกจากนี้ การที่ยังยุบสภาไม่ได้ตอนนี้  เพราะต้องให้เวลาพรรคการเมืองในการทำไพรมารีโหวตผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละเขตทั่วประเทศ ที่ตามกฎหมายพรรคการเมืองให้ใช้วิธีการทำไพรมารีโหวตแบบรายจังหวัดได้ ไม่ต้องทำทุกเขตเลือกตั้ง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ต้องให้เวลาทาง กกต.-เจ้าหน้าที่ กกต. ได้มีเวลาเตรียมการจัดเลือกตั้งพอสมควร อย่างน้อยก็อาจประมาณ 30-40 วัน หลังจากนี้

ซึ่งกระบวนการต่างๆ ต่อจากนี้ เรื่องที่พรรคการเมือง-ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. โดยเฉพาะระบบเขตเฝ้าติดตามก็คือ การแบ่งเขตเลือกตั้งของ กกต.ว่าจะออกมาอย่างไร และเป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ทำให้พรรคการเมืองใดได้เปรียบทางการเมืองหรือไม่?

 ที่เชื่อว่า ถึงต่อให้ กกต.แบ่งเขตออกมาอย่างไร ก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะมีคนไม่พอใจ โดยเฉพาะคนที่เห็นว่าการแบ่งเขตดังกล่าวทำให้เสียเปรียบคู่แข่งขัน เช่น เขตเลือกตั้งที่ตัวเองมีคะแนนดี มีฐานเสียงถูกแยกออกไปอยู่เขตอื่น แบบนี้ รับรองว่ามีเสียงโวยวาย กกต.เกิดขึ้นแน่นอน

ที่น่าสนใจก็คือ มีข่าวว่ามีนักการเมืองดังๆ หลายคนกำลังรอผลการแบ่งเขตเลือกตั้งของกกต.ว่าจะออกมาแบบไหน เพื่อจะได้ตัดสินใจในการลงสมัคร ส.ส. เช่น มีกระแสข่าวว่า กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า-อดีต รมว.การคลัง กำลังอาจตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.เขตกรุงเทพมหานคร เพื่อหวังกลับไปเป็น ส.ส.เขต กทม.อีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้เปิดตัวเข้าสู่การเมืองครั้งแรกเมื่อปี 2548 ด้วยการชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.เขต กทม.ประชาธิปัตย์ ในพื้นที่บางคอแหลม-ยานนาวา ที่ตอนเลือกตั้งปี 2562 อยู่ในเขต 3 กทม. ซึ่งหาก กกต.แบ่งเขตใหม่ โดยแยกเขตสาทร ที่ตอนเลือกตั้งปี 2562 อยู่เขต 2 กับบางรัก-ปทุมวัน มารวมกับเขตเลือกตั้ง ยานนาวา-บางคอแหลมด้วย 

ก็อาจเข้าทางหัวหน้าชาติพัฒนากล้า เพราะ กรณ์อาจยังเชื่อว่า ฐานเสียงคนชั้นกลางในย่านสาทร น่าจะชอบตัวนายกรณ์และนโยบายเศรษฐกิจของชาติพัฒนากล้า ผสมกับเชื่อว่า ยังพอมีคะแนนนิยมเดิมแถวยานนาวา-บางคอแหลมอยู่ จนทำให้อาจมีลุ้นชนะเลือกตั้งได้ แต่ก็มีข่าวอีกกระแสว่า ไม่แน่กรณ์อาจลงสมัครเขต 2 บางรัก-ปทุมวัน ที่ข่าวว่าเขตนี้สู้กันมันหยดไปเลยก็ได้ แต่ทั้งหมดอยู่ที่ การแบ่งเขตของ กกต.ที่จะออกมา

การแบ่งเขตเลือกตั้งของ กกต.ที่จะออกมา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แวดวงการเมืองกำลังเฝ้าติดตาม หลังจากเริ่มนับหนึ่ง เข้าสู่การเลือกตั้งตั้งแต่บัดนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยังไม่จบ ศึกชิงอำนาจสภาสูง แผนสองกินรวบ ปธ.กมธ.ทุกชุด!

วันอังคารนี้ 23 ก.ค. คาดว่าคงไม่เกินช่วงเที่ยงๆ ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ผลการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อเลือก ประมุขสภาสูง-ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง-รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง รวมสามเก้าอี้ใหญ่สภาสูงจะออกมาอย่างไร

ตั้งกลุ่มสว.สีเขียว-ปิดดีล'อยู่บำรุง' 'บ้านป่าฯ'ยังมีของไม่วางมือ

การขยับทางการเมืองของ บ้านป่ารอยต่อฯ ภายใต้การนำของพี่ใหญ่ตระกูล วงษ์สุวรรณ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงนี้น่าสนใจไม่น้อย ทั้งกระแสข่าวดึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.

แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน

'ดิเรกฤทธิ์' พ้อ! ไร้องค์กรตรวจสอบ กกต. ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ 'เลือก สว.'

นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ประชาธิปไตยต้องไม่มีอำนาจใดไม่ถูกตรวจสอบ"

แจกเงินดิจิทัล1หมื่นบาท ปิดปาก 'ปุ๋ย คนละครึ่ง'?

รัฐบาลเพื่อไทยนำโดย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ผนึกกำลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ