'บิ๊กป้อม'กับฝันเก้าอี้นายกฯ ดัน'พปชร.'เดินเครื่องพร้อมรบ กับเบื้องหลังปิดดีลกลุ่มสมคิด

    การขยับทางการเมืองหลายท่วงท่าของ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในช่วงนี้ บ่งชี้ทางการเมืองให้เห็นชัด

    “ลุงป้อมเอาแน่ เอาจริง”

    กับการหวังจะขอเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 30

    ด้วยการทำให้ พลังประชารัฐ มีสรรพกำลังที่เข้มแข็งที่สุดในการลงทำศึกเลือกตั้ง แม้จะไม่มีพลเอกประยุทธ์มาเป็นจุดขายทางการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2562 รวมถึงพรรคต้องเจอกับปัญหาแกนนำ-ส.ส.-อดีต ส.ส.พลังประชารัฐ-อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตเกรดเอของพรรคหลายคน ย้ายออกจากพลังประชารัฐไปอยู่พรรคอื่นกันหลายสิบคน

แต่พบว่าบิ๊กป้อมพยายามแก้เกม-พลิกสถานการณ์ ไม่ยอมตกอยู่ในอาการตั้งรับ ด้วยการดึงนักการเมืองระดับบิ๊กเนม มีชื่อชั้นทางการเมือง-ส.ส.-อดีต ส.ส.-บ้านใหญ่ตระกูลการเมืองแต่ละจังหวัดเข้าพลังประชารัฐ ซึ่งมีทั้งที่เปิดตัวแล้วและกำลังเจรจากันอยู่อีกหลายคน อย่างล่าสุดที่เปิดตัวไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ สกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ที่คัมแบ็กกลับพลังประชารัฐอีกครั้ง เพื่อมาเป็นหัวหน้าทีมดูแลพื้นที่เลือกตั้ง กทม.ให้พลังประชารัฐ เป็นต้น

    แต่ที่ฮือฮาในแวดวงการเมืองช่วงสุดสัปดาห์นี้ก็คือ การเปิดปฏิบัติการ ปาดหน้าการเมือง อีกครั้ง ซึ่งไม่ได้ไปปาดหน้าน้องตู่-พลเอกประยุทธ์ อย่างที่เคยทำ แต่รอบนี้เล่นปาดหน้า เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ด้วยการเปิดปฏิบัติการเปิดดีลแบบ

"มาเร็ว เคลมเร็ว ม้วนเดียวจบ”

กับ กลุ่มสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และสร้างอนาคตไทย

ที่บิ๊กป้อมไปดึงกลุ่มสมคิดให้คัมแบ็ก-รีเทิร์นกลับพลังประชารัฐ ที่ข่าวว่าบิ๊กป้อมใช้เวลาในการเจรจาพูดคุยแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น และใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็ดีลจบ ไม่ยืดเยื้อเหมือนการเจรจารวมพรรคระหว่างไทยสร้างไทยกับสร้างอนาคตไทย ที่ใช้เวลาในการพูดคุยกันมาแล้วร่วม 3 เดือนกว่า ตั้งแต่ปลายปี 2565 ก็ยังปิดดีลไม่ลง เพราะติดขัดเงื่อนไขหลายอย่าง เช่นเรื่อง ชื่อพรรคที่จะใช้หากมีการรวมพรรคกัน จนทำให้การเจรจารวมพรรคยืดเยื้อหลายเดือน  

โดยมีกระแสข่าวว่าระหว่างที่การเจรจารวมพรรคระหว่างไทยสร้างไทยกับอนาคตไทยยืดเยื้อ ปรากฏว่าระหว่างนั้นคนในกลุ่มสมคิดเริ่มคุยกันหนักว่า แค่ขนาดจะมารวมพรรคกันยังมีปัญหามากขนาดนี้ ใช้เวลาคุยกันหลายเดือน แล้วหากสุดท้ายรวมกันจริงก็ต้องเคลียร์เรื่องอื่นๆ กันอีก เช่น การส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่ตอนนี้ทั้งสองพรรคเปิดตัวกันไปเยอะแล้ว จนทับซ้อนกัน ก็ต้องมาคุยกันว่าจะเอาคนของพรรคไหนส่งลงเลือกตั้ง แม้จะใช้วิธีการทำโพลชี้ขาด แต่ก็คงนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในตามมาแบบเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังจะมีรายละเอียดอื่นๆ อีก เช่น ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง จะแบ่งกันรับผิดชอบอย่างไร

กระแสข่าวทางการเมืองให้ข้อมูลมาว่า ยิ่งการเจรจาควบรวมพรรคยืดเยื้อไปมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เกิดความลังเลใจในการรวมพรรคที่เริ่มมากขึ้นของกลุ่ม ดร.สมคิด และสร้างอนาคตไทย จนความลังเล-ความไม่มั่นใจว่าการรวมพรรคดังกล่าวจะราบรื่น จากคนในกลุ่ม ดร.สมคิด พบว่าเรื่องนี้ลอยไปถึงคนใน บ้านป่ารอยต่อฯ

จนมีข่าวว่าบิ๊กป้อมโทรศัพท์หา ดร.สมคิด ในฐานะคนคุ้นเคยกันมาก่อน จนทำให้มีการนัดพบกันระหว่างบิ๊กป้อมกับ ดร.สมคิด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง

สายข่าวบอกว่า การพูดคุยกันระหว่างพลเอกประวิตรกับ ดร.สมคิด ทาง บิ๊กป้อม ไม่ได้พูดอะไรมาก เจอกันก็เอ่ยปากชวนสมคิดเลยทันทีว่า หากคุยกับเจ๊หน่อยและไทยสร้างไทยยืดเยื้อ คุยกันยาก ก็ให้กลับมาพลังประชารัฐดีกว่า เพราะยังไงก็บ้านเก่าที่กลุ่ม ดร.สมคิดเคยร่วมสร้างพรรคขึ้นมา ส่วนเรื่องบาดหมางในอดีตระหว่างกลุ่มสมคิดกับคนในพรรคบางคนก็ขอให้ลืมไป และมาช่วยกันก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งข่าวว่า ดร.สมคิดก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ

และต่อมา ดร.สมคิดได้แจ้งเรื่องนี้ไปยังอุตตม-สนธิรัตน์ และแกนนำพรรคบางส่วนเพื่อส่งสัญญาณให้ไปคุยกับพลเอกประวิตรเรื่องการกลับเข้าพลังประชารัฐ พร้อมกับให้อำนาจการตัดสินใจกับอุตตม-สนธิรัตน์ไปเลยว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งหากเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการกลับเข้าพลังประชารัฐ ตัว ดร.สมคิดก็ไม่ขัดข้อง แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย และไม่เข้าไปช่วยพลังประชารัฐหาเสียงเลือกตั้ง และมีข่าวอีกว่าทาง ดร.สมคิดแจ้งกับคนในสร้างอนาคตไทยไว้ว่า หากสุดท้ายทางกลุ่มสร้างอนาคตไทยกลับเข้าพลังประชารัฐ ตัว ดร.สมคิดอาจจะขอตัดสินใจ วางมือการเมือง-เว้นวรรคการเมือง ชั่วคราว

โดยเบื้องหลังการเจรจาพูดคุยเรื่องการควบรวมพรรคกันระหว่างไทยสร้างไทยกับสร้างอนาคตไทยที่ยืดเยื้อ แต่สุดท้ายดีลล่ม เพราะกลุ่มสมคิดไปเปิดดีลอีกทางกับบิ๊กป้อม จนเตรียมเข้าพลังประชารัฐในเร็ววันนี้นั้น แหล่งข่าวที่อยู่ในวงหารือการรวมพรรค ดังกล่าวเล่าให้ฟังว่า

“ตั้งแต่หลังทางแกนนำพรรคสร้างอนาคตไทยกับไทยสร้างไทยไปคุยกันและเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท เมื่อ 29 ธันวาคม 2565 หลังจากนั้นพอเข้าสู่เดือนมกราคม หลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ ตัวแทนทั้งสองพรรคก็มีการหารือกันนอกรอบอยู่บ้าง แต่เป็นวงเล็กๆ ในลักษณะการให้ทีมนโยบายพรรคทั้งสองพรรคมาคุยกันว่า หากรวมพรรคกันแล้วจะเอานโยบายทั้งสองพรรคมาเขียนร่วมกันอย่างไรในการหาเสียง

จนกระทั่งเมื่อ ดร.สมคิดและคุณหญิงสุดารัตน์เดินทางกลับจากต่างประเทศหลังไปพักผ่อนช่วงปีใหม่ แกนนำทั้งสองพรรคได้มีการเปิดห้องคุยกันอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566

โดยวงเจรจาวันดังกล่าว ทางแกนนำไทยสร้างไทยได้ยืนยันเงื่อนไขไปว่า เมื่อรวมกันแล้วขอให้ใช้ชื่อไทยสร้างไทย เพราะเป็นชื่อที่คนรู้จักและจำได้มากกว่าสร้างอนาคตไทย และไม่ควรไปใช้ชื่ออื่นที่เป็นชื่อกลางๆ เพราะเหลือเวลาเตรียมตัวเลือกตั้งอีกไม่มาก จะเสียเวลาในการทำให้คนจำชื่อพรรค

ข้อสรุปที่คุยกันเมื่อ 13 มกราคม มีการคุยกันไว้ว่า คนจากฝั่งพรรคสร้างอนาคตไทยจะลาออกจากสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทยในวันศุกร์ที่ 20 มกราคม ช่วงก่อนตรุษจีน โดยจะมีการให้ข่าวต่อสื่อด้วย จากนั้นไทยสร้างไทยจะทำการนัดประชุมใหญ่วิสามัญพรรคไทยสร้างไทย วันศุกร์ที่ 27 มกราคม ที่ได้มีการเตรียมจองสถานที่ไว้แล้ว โดยในวันดังกล่าวที่คุยกันไว้คือ จะให้กลุ่ม ดร.สมคิดและคนจากสร้างอนาคตไทยเดินเข้ามาในงาน แล้วเปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรคและใส่เสื้อพรรคสร้างอนาคตไทย

โดยแผนงานดังกล่าวที่คุยกันไว้ช่วงประมาณรอบสุดท้าย พบว่าทางตัวแทนสร้างอนาคตไทยมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ บอกว่าจะขอเวลาพิจารณาอีกที

 แต่ปรากฏว่าระหว่างนั้นมีการต่อท่อต่อสายจากป่ารอยต่อฯ มาที่กลุ่ม ดร.สมคิด จนกระทั่งมีการนัดเจอกันระหว่างพลเอกประวิตรกับ ดร.สมคิด และตามด้วยนัดเจอกันระหว่างแกนนำทั้งสองฝ่าย จนมีการเปิดดีลการดึงกลุ่ม ดร.สมคิดกลับเข้าพลังประชารัฐ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทางกลุ่ม ดร.สมคิดไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายคุณหญิงสุดารัตน์ทราบเรื่อง จนกระทั่งมารู้เอาตอนช่วงค่ำวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม ที่สื่อเริ่มรายงานข่าวว่ากลุ่ม ดร.สมคิดจะกลับเข้าพลังประชารัฐ" แหล่งข่าวที่อยู่ในวงเจรจารวมพรรคระหว่างกลุ่ม ดร.สมคิดกับกลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เล่าเบื้องหลังดีลดังกล่าวที่สุดท้ายล่มกลางคัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องดีลดึงกลุ่มสมคิด-สร้างอนาคตไทยเข้าพลังประชารัฐ สุดท้ายต้องรอให้กลุ่ม ดร.สมคิด-สร้างอนาคตไทยแถลงข่าวเปิดตัวเข้าพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการอีกที เพราะการเมืองเรื่องการเจรจาต่อรองสามารถพลิกกันได้รายชั่วโมง ดังนั้นตราบใดที่กลุ่ม ดร.สมคิดยังไม่เปิดตัวเข้าพลังประชารัฐแบบเป็นทางการ ก็ต้องดูด้วยว่ากลุ่ม ดร.สมคิดจะ เทบิ๊กป้อม กลางโรงแรมพลูแมนฯ หรือไม่ หลังมีการเจรจาตกลงกันไว้เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ระหว่างฝ่ายพลังประชารัฐคือ พลเอกประวิตร-พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา กับฝ่ายสร้างอนาคตไทยคือ อุตตม หัวหน้าพรรค และสนธิรัตน์ เลขาธิการพรรค

ดีลการเมืองดังกล่าวที่ทำแบบ ปิดลับ แต่มาเร็วเคลมเร็ว-ปิดดีลเร็ว หากสุดท้ายไม่มีการพลิกโผ มันแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า บิ๊กป้อมกับศึกเลือกตั้งรอบนี้ เดินเกมล้ำลึก แยบยลและรัดกุม พยายามดึงกลุ่มการเมืองต่างๆ มารวมกันที่พลังประชารัฐให้มากที่สุด เพื่อจะได้มีขุนพลการเมืองไว้ใช้งานที่หลากหลาย กับภารกิจการเมืองทั้งบนดิน-ใต้ดิน บนเป้าหมายคือหวังให้พรรคได้ ส.ส.หลังเลือกตั้งมากที่สุด จนมีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองสูงสุด ยามเมื่อมีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 

ซึ่งเป้าหมายของพลเอกประวิตรก็เห็นชัด มันคือการได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีบนตึกไทยคู่ฟ้าในช่วงบั้นปลายชีวิตนั่นเอง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

14 ส.ค.ชี้ชะตา 'ลุงป้อม-พปชร.' ลุ้นสุดท้ายคดี 'เศรษฐา'

ภายใน "พรรคพลังประชารัฐ" ขณะนี้เหมือนจะมี 2 ชุดความคิด ชุดความคิดแรกคือ พรรคจะควรจะอยู่นิ่งๆ ทำตัวเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ดี เพื่อรักษาสถานภาพที่มีอยู่

เศรษฐาเกาะ“มีชัย”หวังชนะคดี เปิดข้อต่อสู้32หน้าขอศาลอยู่ยาว

เมื่อวันอังคารที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้องในคดีกลุ่ม 40 อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นคำร้องให้ศาล รธน.วินิจฉัยกรณี นายกฯ นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดส่ง เอกสารคำแถลงปิดคดี ในคดีดังกล่าวถึงสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก้าวไกลชงนิรโทษฯ 112 แบบมีเงื่อนไข ห้ามทำผิดซ้ำ 3-5 ปี แมตช์วัดใจ พท.-ทักษิณ

เดิมที ศุกร์ที่ผ่านมา 26 ก.ค. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี ชูศักดิ์ ศิรินิล จากพรรคเพื่อไทยเป็นประธาน

“ลุง”กับ“อา”ใจถึงพึ่งได้ เฮือกสุดท้ายใน”บ้านป่า”?

“เปิดต้อนรับนักการเมืองเทรนด์เดียวกัน ที่รสนิยมในเรื่องของ พรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้อง ต้องมาก่อน เรื่องคำมั่นสัญญา การไม่หักหลังกัน เปรียบเหมือน ปฏิญญา-กฎเหล็ก ในการคบหากันของแวดวงคนใจนักเลง”

“อนุทิน-ภท.” “พยัคฆ์ติดปีก”

กรณีสถานการณ์ “กัญชา” พลิกจากเดิมที่จะถูกดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หักนโยบายพรรคภูมิใจไทยสร้างมา เป็นการออก พ.ร.บ. เพื่อใช้เฉพาะทางการแพทย์ วิจัย เศรษฐกิจเท่านั้น