แท้งไปแล้วสำหรับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ…ฉบับรีโซลูชั่น ที่มี ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ และ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ แกนนำคณะก้าวหน้า และประชาชนกว่า 1.3 แสนรายชื่อ เป็นผู้เสนอ
โดยที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติไม่รับหลักการมากถึง 473 เสียง โดยเป็นเสียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว. ขณะที่ฝ่ายรับหลักการมี 206 เสียง จากพรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล นอกจากนี้ยังมีการงดออกเสียงอีก 6 เสียง
"จึงมีการตั้งคำถามกลับมายังการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ว่า สรุปแล้วพรรคก้าวไกลต้องการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน หรือกำลังยืมมือประชาชนกว่าแสนคนกับสภา ในการปลุกกระแสความไม่พอใจ ตลอดจนฉวยโอกาสหาเสียงเลือกตั้ง"
ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับรีโซลูชั่นจะถูกคว่ำตั้งแต่วาระที่ 1 เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ ที่เคยมีการพิจารณาเมื่อปลายปี 2563 ร่างของ ‘ไอติม’ มีเนื้อหาที่ค่อนข้างสุดโต่งและรุนแรงกว่า
แต่ควันหลงจากการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ที่กำลังถูกพูดถึงกันอยู่คือ จุดประสงค์ของผู้เสนอร่างว่า มีเจตนาและหวังผลอะไร
เพราะ ‘ไอติม-ปิยบุตร’ ย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการเสนอยุบทิ้ง ส.ว.ไม่มีทางจะสำเร็จ และไม่มีทางจะได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ที่ต้องใช้มากถึง 80 กว่าเสียง แต่ยังเลือกที่จะเข็นเข้ามา
และทันทีที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ทั้งพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าต่างพากันออกมาระบุว่า จะนำประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘รื้อระบอบประยุทธ์’ ไปใช้เป็นนโยบายหาเสียง
โดย ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า พร้อมนำแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นนโยบายหาเสียงของพรรค
"พรรคก้าวไกลพร้อมจะนำข้อเสนอของพี่น้องประชาชนไปเป็นนโยบายการเมืองของพรรคในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อไป และหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนที่เชื่อ เเละเห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เข้ามาเพื่อผลักดันแก้ไขให้ความหวังของประชาชนให้เป็นจริงได้”
ขณะที่ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ แกนนำคณะก้าวหน้า ที่เห็นว่าแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะตกไป แต่ต้องเดินต่อ เพราะเป็นการช่วยปักธงความคิดครั้งสำคัญให้กับสังคม ซึ่งหนทางยังอีกยาวไกล
“เป็นธรรมดาของการถากถางทางใหม่ ที่จะยังไม่สำเร็จในเร็ววัน แต่อย่างน้อยวันนี้ พวกเราได้ร่วมกันกรุยทางทางความคิด ปักหลักวางฐานไว้ก่อน”
นอกจากนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะวินิจฉัยว่า การกระทำของแกนนำ 3 นิ้ว ได้แก่ นายอานนท์ นำภา, น.ส.ปรัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และนายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 เป็นการชุมนุมล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สร้างความไม่พอใจให้องคาพยพอย่างมาก
มันจึงมีการตั้งคำถามกลับมายังการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ว่า สรุปแล้วพรรคก้าวไกลต้องการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน หรือกำลังยืมมือประชาชนกว่าแสนคนกับสภา ในการปลุกกระแสความไม่พอใจ ตลอดจนฉวยโอกาสหาเสียงเลือกตั้ง
สำหรับร่างรัฐธรรมนูญแม้จะตกไป แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อธิบายเอาไว้ว่า ประชาชนสามารถเข้าชื่อได้อีก เพียงแต่ต้องดูความเป็นไปได้ว่า 2 ฉบับที่ผ่านมา รัฐสภาไม่รับหลักการเพราะอะไร
“กระบวนการทุกอย่างทำใหม่หมด ปีที่แล้วเดินมาทีนึงแล้ว ปีนี้เดินอีก ถ้าต่อไปจะเดินอีกก็ไม่แปลก หากตรงใจ ถูกใจ อาจจะได้รับความเห็นชอบเพิ่มมากขึ้นก็ได้ แต่ต้องรู้จักเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นบทเรียนด้วยว่าทำไมถึงไม่ผ่าน ถ้าจะให้ผ่านต้องทำอย่างไร”
อย่างไรก็ดี คงไม่มีการเสนอในเร็วๆ นี้ เพราะไทม์มิ่งหลังจากนี้ยังไม่สะดวกเท่าไหร่ อีกทั้งปัจจัยสำคัญทางการเมืองขณะนี้คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ที่มีการทูลเกล้าฯ ถวายขึ้นไปก่อนหน้านี้ เพราะเป็นฉบับที่สามารถกำหนดอนาคตทางการเมืองได้
ต่อให้พรรคร่วมรัฐบาลจะเตรียมการยกร่างกฎหมายลูก ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อให้สอดรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันไปพลางก่อนในระหว่างรอแล้ว จนล่าสุดยังมีมติว่า จะทำในนามพรรคร่วมรัฐบาล แต่ประเด็นคือ ทำไปแล้วจะได้ใช้หรือไม่ ไม่มีใครกล้ารับประกัน
หรือต่อให้มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถบอกได้อีกว่า กฎหมายลูกจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะมีกระแสข่าวออกมาเหมือนกันว่า แม้จะเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่วิธีการคำนวณอาจจะยังเหมือนเดิม เข้าลักษณะแก้เหมือนไม่ได้แก้
จึงต้องรอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญบัตรเลือกตั้ง 2 ใบกันไปก่อน
นาทีนี้บรรดาพรรคการเมือง นักการเมือง เลยทำได้แค่ลงพื้นที่เตรียมการรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เพื่อให้ตัวเองพร้อมอยู่ตลอดเวลาไว้ก่อน ทั้งการทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร การโยกย้ายหาสังกัดใหม่
เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า ฝ่ายถืออำนาจซ่อนกล หรือมีลับ ลวง พราง อะไรไว้หรือไม่
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม่ ช่วงนี้ลงพื้นที่ถี่ยิบเหมือนเดิม ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยกคณะกันไปประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร กันที่ จ.กระบี่ พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 4 จังหวัด
บรรยากาศคึกคัก ‘บิ๊กตู่’ อารมณ์ดี แต่มิวายเจอดรามาตามระเบียบ โดยเฉพาะช็อตเดินชายทะเลในอิริยาบถสบายๆ ที่เจอฝ่ายตรงข้ามล้อเลียนว่าดูไม่ธรรมชาติ
แต่ที่หนักเลยคือ กรณีสมาพันธ์รถบรรทุกประท้วงราคาน้ำมันแพง และขู่หยุดขนส่งสินค้าหากรัฐบาลไม่แก้ไขปัญหามากกว่าที่เป็นอยู่ ทว่า ‘บิ๊กตู่’ กลับใช้วิธีการแก้ไขปัญหา โดยการสั่งให้เตรียมรถทหารเพื่อมาช่วยประชาชนขนส่งสินค้าหากมีการหยุดประท้วง
กลายเป็นว่า นอกจากไม่ได้แก้ปัญหาให้รถบรรทุก แต่เหมือนไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับประชาชนอีก ยังไม่นับรวมข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ ที่รัฐแข่งขันกับประชาชน
วิธีการแก้ไขปัญหาแบบ ‘บิ๊กตู่’ กำลังกลายเป็นเรื่องที่ถูกโจมตีอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงผักชีราคาแพง ก็สั่งการให้มีการปลูกผักชีในค่ายทหาร จนถูกค่อนแคะไปแล้ว
เรียกว่าช่วงนี้ไม่ว่าหยิบจับอะไรกลายเป็นดรามาได้หมด แล้วเกิดจากตัวเองทั้งนั้น
ว่ากันตามตรง ‘บิ๊กตู่’ อยู่ในโหมดกุมความได้เปรียบทุกอย่าง ข้างนอกสภา ม็อบ 3 นิ้วฝ่อๆ ไป นับตั้งแต่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ แต่ไม่มีอิมแพ็ก ขณะที่ในสภาเป็นต่อหลายขุม กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ขณะที่องคาพยพส่วนอื่นๆ ก็แผ้วถางทางให้ไม่มีอุปสรรค
ทางเดินต่างๆ สะดวกหมด ปัญหาเดียวตอนนี้ของ ‘บิ๊กตู่’ คือ ชอบมาตกม้าตายด้วยเรื่องแบบนี้
เส้นทางตอนนี้ได้เปรียบทุกอณู เหมาะแก่การโกยแต้ม แค่อย่าพลาดท่าอะไรง่ายๆ ให้ไอโอตรงข้ามเอาไปขยี้บ่อยๆ
เป็นนายกฯ ที่มีความได้เปรียบเยอะ แต่ถึงตรงนี้ กลับยังใช้ความได้เปรียบไม่คุ้มค่า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง
จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567
ยากจะขวาง‘โต้ง’นั่งปธ.บอร์ดธปท. แนวต้านขอสกัดจนนาทีสุดท้าย!
แม้จะมีข่าวว่า กรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเลือก เสี่ยโต้ง-นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่
โค้งสุดท้ายศึกนายกอบจ.อุดรฯ เดิมพันสูง พท.VSปชน.แพ้ไม่ได้
นับจากวันจันทร์ที่ 18 พ.ย.ก็เหลืออีกเพียง 7 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ศึกนายกฯ อบจ.อุดรธานี ทำให้ตอนนี้ถือว่าเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายที่จะได้รู้กันแล้วว่า
‘แม้ว’ ย่ามใจไม่เลี้ยงหลาน ทำตัวเป็น ‘ส่วนหนึ่งของปัญหา’
แม้แต่ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังตั้งคำถามต่อ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี