อานุภาพ'ทุนสีเทา'ทุบขั้วเก่า รอเวลา'รวมไทยสร้างชาติ'แต่งตัว

ปฏิบัติการแฉของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ให้เห็นถึงความซับซ้อนของกลุ่มทุนจีนสีเทาในการทำธุรกิจแบบกินรวบ เริ่มจากข้อเท็จจริงที่มีการจับกุมเครือข่าย 5 มังกรจีนที่หากินในประเทศไทย พบยาเสพติดในสถานบริการ มีผู้เสียชีวิตจากการเสพติดจริง ทำให้สังคมได้รับรู้ถึงอิทธิพลของมาเฟียจีน ที่ใช้เครือข่าย-คอนเนกชันของผู้กว้างขวางดูแล ปกป้องให้พ้นเงื้อมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐมาตลอดหลายปี

น่ากระอักกระอ่วนใจไม่น้อยสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเจอ “โจทย์ใหญ่” เมื่อเรื่องแดงออกมา เพราะใครๆ ก็รู้ว่าสถานบริการเหล่านั้นต้อง จ่ายตั๋ว ให้กับใครบ้าง

แค่เริ่มประกาศกร้าวจัดการก็ต้องวัดใจว่าตำรวจนายไหนจะพลีชีพออกหน้าทำคดีอย่างเอาจริงเอาจัง เหนืออื่นใดคือต้องมี “ไฟเขียว” และ “ใบสั่ง” จากหน่วยเหนือให้เดินหน้าอย่างชัดเจนเสียก่อน

“ชูวิทย์” ออกอาการหงุดหงิดไม่น้อย เพราะรู้ไต๋ว่าการ ยื้อเวลา และการใช้เทคนิคในสำนวนเพื่อให้ทุกอย่างบรรเทาเบาบางลง ปล่อยให้กระแสสังคมไปสนใจเรื่องอื่นจะทำให้ข่าวค่อยๆ เงียบไป น่าจะทำให้เรื่องจบง่ายขึ้น ซึ่งนั่นคงไม่ส่งผลดีต่อ “อดีตเจ้าพ่ออ่าง” มากนัก

จึงไม่แปลกที่จะเห็นปรากฏการณ์ที่เขา เดินหน้าเต็มสูบ ทั้งการเข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ขอรับคดีตู้ห่าวสมคบค้ายาเสพติดเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพื่อให้อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ทำสำนวนคดีแทนพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา เจ้าของท้องที่เกิดเหตุบุกจับผับจินหลิง

“นายตู้ห่าวโดนคดียาเสพติด 3 ข้อหาคือ สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ไม่ถูกตำรวจตั้งข้อหาฟอกเงิน ที่จะสามารถยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ จึงมาร้องให้ อสส.รับเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เนื่องจากคดีนี้มีการนำยาเสพติดเข้ามาจากต่างประเทศ มีซองประทับอักษรจีน" นายชูวิทย์ระบุ

ไม่เท่านั้น ยังบุกไปกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เรื่องการยึดอายัดทรัพย์คดี “ตู้ห่าว” และยอมรับว่าเริ่มไม่เชื่อการทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.แล้ว และอาจจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณารับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษต่อไป

แน่นอนว่าประเด็นดังกล่าวมีผลกระทบกับ “ตัวละคร” สำคัญทางการเมือง จะแบบเต็มๆ หรือเฉียดๆ ก็ตาม แต่ก็เห็นเป้าหมายใหญ่คือ คีย์แมน ขุนศึกข้างตัว “ลุงป้อม” ที่จะเป็นกำลังหลักในการกลับมาช่วยพรรคพลังประชารัฐสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

รวมไปถึงเงินบริจาคให้กับ พลังประชารัฐ ที่มีแรงกดดันให้เดินไปสู่การยุบพรรค เพื่อสกัดกั้นคีย์แมนระดับเสธ.เจ้าพ่อย่านรัชดาฯ

ขณะเดียวกันยังมีตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอยู่ในพรรคเพื่อไทยที่ถูกหางเลขไปด้วย รวมไปถึงเส้นทางเดินของเงินสีเทาไปกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ บิ๊กล็อต จากหลายโครงการ รวมถึงบริษัทในเครือข่ายของผู้บริหารพรรคเพื่อไทย เพื่อหวังฟอกเงินให้เป็นสีขาว

แม้ปมประเด็นดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองเรื่องของการเลือกตั้งโดยตรง แต่ปัจจุบันสามารถใช้สะกดวิญญาณเหล่าบรรดาลูกหาบ ไพร่พลบางคนได้ และในอนาคตยังสามารถใช้เป็น “อาวุธลับ” ที่ทรงอานุภาพในแง่ของการรื้อทำลายศัตรูเก่า และทลายนั่งร้านเดิม เพื่อสร้างฐานที่มั่นใหม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปี ตามที่เจ้าตัวเปิดไพ่ไปเมื่อไม่นานนี้ได้อีกด้วย

ณ วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ตัดสินใจทางการเมือง ทำให้เกิดนักการเมืองที่ภักดีลุงตู่ละล้าละลัง แต่การพิจารณาถึงความพร้อมรบของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ว่าจะสามารถจัดทัพให้ไปสู่พรรคที่ถูกปรามาสว่าได้ ส.ส.ไม่เกิน 25 เสียงหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ

เพราะต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์และองค์ประกอบของพรรคใหม่นี้ คือสมาชิกกลุ่ม กปปส.และประชาธิปัตย์แตกทัพ ซึ่งฉายภาพทาบทับเหนือนักการเมือง “บ้านใหญ่” การันตีตัวเลข ส.ส.ในมือที่จับต้องได้

แม้พื้นที่เป้าหมายยังคงเป็นภาคใต้ เพราะยังเชื่อว่ากระแส “ลุงตู่” ยังไปต่อได้ แต่ภาคอีสานและเหนือยังเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ยังคิดไม่ตกว่ารุกคืบอย่างไร เพราะ "ดีเอ็นเอ" ของทักษิณและประชานิยมยังครองใจคนทั้งสองภาคนี้อยู่  

สำหรับการจัดตัวผู้สมัครมีทั้งการ "วอล์กอิน” เข้ามา เพราะแรงดึงดูดจาก ทุนแถวหนึ่ง อย่างเต็มสูบ นอกจากนั้นยังมีเด็กฝากจากผู้ใหญ่ รวมถึงเด็กจากสาย 2 เสธ. กับ หนึ่งแม่เลี้ยง ทำหน้าที่เป็นแมวมองส่งคนเข้ามาให้พรรคคัดเลือก ซึ่งในกลางเดือนนี้ รวมไทยสร้างชาติน่าจะได้ข้อยุติการส่งตัวผู้สมัครครบทุกเขต

แต่นั่นก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าจะสามารถข้ามเส้นพรรคการเมืองขนาด 25 เสียงได้หรือไม่ เพราะมุ้งการเมืองที่ไม่เอาด้วยกับ “ผู้กอง-พลังประชารัฐ” ยังต้องประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน ว่าควรจะโดดมาช่วยฝั่ง “ลุงตู่” ดีหรือไม่

โดยเฉพาะการจัดโครงสร้างบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติที่ยังเป็น “แผงเดิม” ของ กปปส.อยู่ครบตัว ยังเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการพิจารณาว่าควรจะขนผู้สมัครเข้ามาโดยไม่มี การันตีขั้นต่ำ หรือไม่ เพราะมีความเสี่ยงในการจัดสูตรรัฐบาลภายหลังผลการเลือกตั้งออกมา

กระนั้น รวมไทยสร้างชาติยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นพรรคที่มี “สัญญาณชัด” ว่าเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับเขาโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยที่ “ลุงตู่” จะย้ายวิกไปหานั่งร้านอื่น ที่มั่นคง มีหลักประกันเรื่องตัวเลข ส.ส.อย่าง “ภูมิใจไทย” ตามบางกระแสข่าวที่ออกมา ถึงแม้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อาจจะพร้อมอ้าแขนรับ แต่ก็ใช่ว่า “ผู้จัดการตัวจริง” ที่บุรีรัมย์จะเห็นดีเห็นงามด้วย 

เช่นเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ใช่ทัพหน้าในการต่อสู้อีกต่อไป มีสถานะเป็นเพียง “หลุมดำ” ดูดกลุ่มก้อน ส.ส.เพื่อช่วงชิงนักการเมืองจากฝ่ายค้านมาอยู่ในคอก ลดจำนวนตัวเลขศัตรูแบบ ไป-กลับ เพื่อให้เห็นแต้มต่อที่ชัดขึ้น

โจทย์ใหญ่ต่อไปคือ “บิ๊กตู่” จะประกาศเส้นทางเดินของตัวเองเมื่อไหร่ และหากเดินเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว จะเข้ามาคุมสภาพของพรรคได้อย่างเบ็ดเสร็จหรือไม่ โดยเฉพาะแบ่งพื้นที่ให้พวกบ้านใหญ่ที่เตรียมย้ายตามตนเองมา โดยไม่ให้กระทบคนกลุ่มเดิมจนกลายเป็นจุดแตกร้าว

แต่หากมี “ปัจจัยแทรกซ้อน” ที่ไม่เป็นไปตามนี้ จนเกิดสภาวะแวดล้อมอื่นที่นำไปสู่การเมืองบนท้องถนน หรือมีคนพยายามเปิดเกมปลุกให้คนไทยออกมาเผชิญหน้ากันอีกรอบ วงจรอุบาทว์ทางการเมืองก็อาจจะหมุนวนมาอีกครั้ง ซึ่งไม่มีใครฟันธงได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น

เพียงแต่เบื้องต้นภารกิจของการสร้างนั่งร้านใหม่ยี่ห้อ “รวมไทยสร้างชาติ” ต้องราบรื่น เดินหน้าไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง เข้าสู่การเลือกตั้งระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ยังมีจำนวนไม่ห่างกันมาก

รอจนกว่า “ยุคเปลี่ยน-สังคมปรับ” เข้าใกล้การเมืองในอุดมคติ ซึ่งเงินและอำนาจที่มองไม่เห็นเอื้อมมาไม่ถึง!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568

‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง