'ไทย' โชว์ศักยภาพกลาง 'เอเปก' ยกระดับความร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก มาตั้งแต่ต้นปี 2565 จนในที่สุดเวลาพาเดินทางมาถึงจุดพีกของการประชุมเอเปก

โดยระหว่างวันที่ 17-18 พ.ย.จะเป็นการประชุมระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปก ซึ่งมีบุคคลสำคัญถึง 21 เขตเศรษฐกิจเข้าร่วม นั่งโต๊ะหารือในหัวข้อหลัก การเติบโตอย่างสมดุล ครอบคลุมและยั่งยืน และหัวข้อการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างและยั่งยืน

ถือเป็นเวทีเศรษฐกิจสำคัญที่โลกจับตามอง ภายหลังจากที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำระบบเศรษฐกิจทั่วโลกวูบ และขณะนี้เมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประเทศต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่จะเริ่มต้นพูดคุยเจรจาการค้าการลงทุน เพื่อความมั่นคงมั่งคั่งของประเทศตัวเอง ดังนั้นเวทีเอเปกจึงเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง

เรียกว่าช่วงการประชุมที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย. เป็นอะไรที่ลงตัว ประจวบเหมาะพอดิบพอดี และงานนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีของไทย และ รมว.กลาโหม ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ โชว์วิสัยทัศน์ในสายตาของชาวโลกอีกคราว

อย่างเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปาฐกถาในพิธีเปิดการประชุม APEC CEO Summit ตามคำเชิญของสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก (APEC Business Advisory Council : ABAC) ซึ่งเวทีนี้เป็นหนึ่งในการรวมตัวของภาคธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และเป็นการกลับมาอีกครั้งของการประชุมในรูปแบบพบหน้า

นายกฯ ของไทยจึงได้ใช้ประโยชน์จากจุดนี้สื่อสาร ตอนหนึ่งว่า “ไทยมีการปรับตัวและปฏิรูปทางโครงสร้างที่จำเป็น ซึ่งรัฐบาลยินดีต้อนรับการลงทุน และแรงงานที่มีทักษะและแรงงานขั้นสูงเพิ่มเติมในภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล รวมทั้งมีมาตรการจูงใจทั้งทางภาษีและไม่ใช่ภาษี นอกจากนี้ ไทยได้เปิดตัวโครงการตรวจลงตราประเภทผู้พำนักระยะยาว 10 ปี พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล พร้อมจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เป็นเขตนวัตกรรมดิจิทัลแห่งใหม่ และเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและนวัตกรรมของภูมิภาค”

นอกจากนี้ ด้วยจะมีการประชุมระดับผู้นำ นายกรัฐมนตรี ยังได้หารือทวิภาคีกับ เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน หนึ่งในนั้นคือ ด้านเศรษฐกิจ โดยทั้งไทยและฝรั่งเศสยินดีกับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และเห็นพ้องกันว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก

โดยรัฐบาลไทยได้ปรับนโยบายที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิรูปสีเขียวของ EU จึงเป็นโอกาสดีที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะสนับสนุนการส่งออกสินค้าสิ่งแวดล้อมและการลงทุนในธุรกิจสีเขียว ไทยร่วมกับสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปกลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไป สำหรับรายการสินค้าสิ่งแวดล้อม จำนวน 54 รายการ นายกรัฐมนตรีจึงเชิญชวนให้ฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว

ด้าน มาครง ก็พร้อมมีความร่วมมือกับไทยในด้านการผลิตและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรกรรม ตลอดจนพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนา EEC

รวมทั้งนายกฯ ไทยยังขอรับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสสำหรับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งการจัดงาน Expo 2028 - Phuket Thailand ในเดือนมิถุนายน 2566 ระหว่างช่วงการประชุมสมัชชาใหญ่ (BIE General Assembly) ครั้งที่ 172 ที่กรุงปารีส โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสพร้อมให้การสนับสนุนไทย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้หารือทวิภาคีแบบสั้น (pull-aside) กับ นายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honourable John Lee Ka-Chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง

โอกาสนี้ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า "สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเป็นโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมแก้ปัญหาท่ามกลางความท้าทาย และเป็นโอกาสให้ยกระดับความร่วมมือ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติมในเรื่องการค้าและการลงทุน และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการค้าในผลิตภัณฑ์ทางด้านเกษตร"

อย่างไรก็ตาม ธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในฐานะประธานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปก ปี 2565 ยังพูดถึงสิ่งที่ได้รับจากการประชุมเอเปกว่า เราได้เดินหน้าการสนับสนุนการเดินทางและการขนส่งสินค้าข้ามแดนให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 และที่สำคัญ ยังได้นำเรื่อง การค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก หรือ FTAAP มาพูดอีกครั้ง

"เพราะถ้าต้องการทำให้ภูมิภาคนี้มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นและเป็นไปอย่างยั่งยืน จะต้องเพิ่มความพยายามในการส่งเสริมการค้าการลงทุน พร้อมกับลดข้อจำกัดต่างๆ ในด้านการค้าการลงทุน เราจึงได้หยิบยกเรื่อง FTAAP ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อสร้างการเจริญเติบโตให้แก่ภูมิภาคนี้ ซึ่งก็จะนำประเด็นเหล่านี้เสนอในเวทีระดับผู้นำด้วยเช่นกัน"

นี่คือตัวอย่างประโยชน์ส่วนหนึ่งที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก เพื่อแสวงหาความร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม หลังวิกฤตโควิด-19.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

14ส.ค.ชี้ชะตา‘ลุงป้อม-พปชร.’ ลุ้นสุดท้ายคดี‘เศรษฐา’

ภายใน "พรรคพลังประชารัฐ" ขณะนี้เหมือนจะมี 2 ชุดความคิด ชุดความคิดแรกคือ พรรคจะควรจะอยู่นิ่งๆ ทำตัวเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ดี เพื่อรักษาสถานภาพที่มีอยู่

เศรษฐาเกาะ“มีชัย”หวังชนะคดี เปิดข้อต่อสู้32หน้าขอศาลอยู่ยาว

เมื่อวันอังคารที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้องในคดีกลุ่ม 40 อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นคำร้องให้ศาล รธน.วินิจฉัยกรณี นายกฯ นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดส่ง เอกสารคำแถลงปิดคดี ในคดีดังกล่าวถึงสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก้าวไกลชงนิรโทษฯ 112 แบบมีเงื่อนไข ห้ามทำผิดซ้ำ 3-5 ปี แมตช์วัดใจ พท.-ทักษิณ

เดิมที ศุกร์ที่ผ่านมา 26 ก.ค. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี ชูศักดิ์ ศิรินิล จากพรรคเพื่อไทยเป็นประธาน

“ลุง”กับ“อา”ใจถึงพึ่งได้ เฮือกสุดท้ายใน”บ้านป่า”?

“เปิดต้อนรับนักการเมืองเทรนด์เดียวกัน ที่รสนิยมในเรื่องของ พรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้อง ต้องมาก่อน เรื่องคำมั่นสัญญา การไม่หักหลังกัน เปรียบเหมือน ปฏิญญา-กฎเหล็ก ในการคบหากันของแวดวงคนใจนักเลง”

“อนุทิน-ภท.” “พยัคฆ์ติดปีก”

กรณีสถานการณ์ “กัญชา” พลิกจากเดิมที่จะถูกดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หักนโยบายพรรคภูมิใจไทยสร้างมา เป็นการออก พ.ร.บ. เพื่อใช้เฉพาะทางการแพทย์ วิจัย เศรษฐกิจเท่านั้น