วรเจตน์-จ่านิว-ศรีสุวรรณ ต่อต้าน "เห็นต่าง จบรุนแรง"

เหตุการณ์การทำร้ายร่างกาย ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เมื่อวันอังคารที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ถูก นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล อายุ 62 ปี สมาชิกกลุ่มศักดินาเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ นักเคลื่อนไหวการเมืองปีกเสื้อแดง ทำร้ายร่างกายภายในบริเวณอาคารศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขณะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระหว่างที่ศรีสุวรรณเข้าร้องให้ บก.ปอท.ตรวจสอบ “โน้ส” อุดม แต้พานิช กรณีพูดล้อเลียนหรือพาดพิงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในทอล์กโชว์เดี่ยวไมโครโฟน 13

สิ่งที่เกิดขึ้นกับศรีสุวรรณไม่ใช่เหตุการณ์แรกสำหรับการเมืองไทย ที่เกิดจาก คนที่เห็นต่างทางการเมือง แล้วใช้ความรุนแรงกระทำต่อกัน

เพราะก่อนหน้านี้ ตั้งแต่อดีตหลายสิบปี ก็เคยมีหลายครั้งที่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง-นักวิชาการ-นักการเมือง รวมถึงสื่อมวลชน ถูกกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองทำร้ายร่างกาย ทั้งแบบต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งเรื่องนี้ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสังคมการเมืองของเกือบทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าประเทศนั้นจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการทหาร

โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุกับศรีสุวรรณ หากมองย้อนกลับไปในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เท่าที่หลายคนจำความได้ ก็เคยเกิดเหตุคนที่เห็นต่างทางการเมืองมีการทำร้ายกัน หรือมีการดักทำร้ายนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่คาดกันว่าน่าจะเกิดจากเรื่องทางการเมืองกันให้เห็นหลายครั้ง 

ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เกิดกับ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนักวิชาการนิติราษฎร์ที่รณรงค์การแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งถือเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ออกมาพูดเรื่องมาตรา 112 อย่างจริงจังและมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องในเรื่องนี้ จากเดิมที่การเมืองไทยและวงการกฎหมายไทยแทบไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้ในพื้นที่เปิดเผย และปรากฏว่า เมื่อ 29 ก.พ.2555 ดร.วรเจตน์ ได้ถูกทำร้ายร่างกายด้วยการต่อยเข้าไปที่บริเวณใบหน้าของนายวรเจตน์จนได้รับบาดเจ็บ โดย เหตุเกิดที่บริเวณลานจอดรถคณะนิติศาสตร์ ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 

ผู้ก่อเหตุคือ นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ สุรารัตน์ สองพี่น้องฝาแฝด เข้ามอบตัวกับตำรวจ โดยยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ดร.วรเจตน์ โดยสาเหตุคือ ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวเรียกร้องของ ดร.วรเจตน์ แกนนำกลุ่มคณะนิติราษฎร์ที่ออกมาเรียกร้องให้แก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ผลทางคดีปรากฏว่า ต่อมาอัยการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ สุรารัตน์ ในข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ต่อมาช่วงมีนาคม 2555 ศาลแขวงดุสิตอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 2 คนมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาให้จำคุกคนละ 6 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 3 เดือน ส่วนนายสุพจน์เคยต้องโทษ คดีผิดพระราชบัญญัติอาวุธปืน เมื่อปี 2553 ต้องโทษจำคุก 7 เดือน ศาลจึงพิจารณาเพิ่มโทษนายสุพจน์เป็นจำคุกเป็นเวลา 10 เดือน และไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าทั้ง 2 คนมีพฤติกรรมไม่เคารพต่อกฎหมาย แต่ทนายความของทั้ง 2 คน ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 100,000 บาท เพื่อขอประกันตัวต่อศาลแขวงดุสิต และศาลให้ประกันตัวในตอนนั้น

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีการทำร้ายร่างกาย สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ตอนนั้นอยู่ในกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่มีแกนนำกลุ่ม เช่น รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลในเวลานี้ และโบว์ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา รวมอยู่ด้วย

โดยพบว่าจ่านิวที่ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวการเมืองตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยถูกดักทำร้ายร่างกายหนักๆ ก็ประมาณ 2 ครั้ง เช่น เมื่อ 28 มิ.ย.2562 ที่โดนรุมทำร้ายที่ปากซอยบ้าน ตรงรามอินทรา 109 จนได้รับบาดเจ็บสาหัส พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 9 วัน

อีกทั้งก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน จ่านิวก็เคยถูกรุมทำร้ายร่างกายเมื่อ 2 มิ.ย.2562 ปีเดียวกัน ที่ป้ายรถประจำทางซอยรัชดาภิเษกซอย 7 จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยมีรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าว จ่านิวถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 5 คน สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า ใช้ไม้เป็นอาวุธเข้าทำร้ายร่างกายจนมีบาดแผลบริเวณศีรษะและบริเวณริมฝีปาก หลังจัดกิจกรรมเรียกร้องให้ ส.ว.งดออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการทำร้ายร่างกาย การใช้ความรุนแรงกับผู้เห็นต่างหรือคนที่มีแนวคิดการเมืองคนละฝั่งกับตัวเอง ว่ากันตามสภาพการเมืองและธรรมชาติมนุษย์ เชื่อว่ายังไงเหตุการณ์ทำนองนี้ก็คงเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ยิ่งเป็นช่วงที่สังคมการเมืองแบ่งขั้วกันชัดอยู่ในช่วงตึงเครียด มันก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุลักษณะเช่นนี้ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ คนในสังคมคงต้องแสดงออกถึงการไม่ยอมรับและต่อต้านการใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อแสดงออกทางการเมือง

ด้าน ศรีสุวรรณ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ไม่เจ็บอะไรเท่าเจ็บใจ ส่วนตัวไม่เคยรู้จักคนก่อเหตุเป็นการส่วนตัว แต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเป็นผู้สื่อข่าวหรือไม่ เพราะพยายามเดินเข้ามาหา เห็นผิดสังเกตก็เลยพยายามกันตัวออก แต่ว่าเนื่องจากเขาตั้งใจที่จะมาทำร้าย ก็เลยโดนชกที่ปลายคาง ตอนนี้มีอาการเจ็บ และได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่กองปราบปราม และ สน.พหลโยธิน เพื่อให้ดำเนินคดีข้อหาทำร้ายร่างกาย

"หลังจากนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีเพื่อนไปด้วย แต่หลังจากนี้คงต้องมีเพื่อนติดตามไปด้วย ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญที่เราจะต้องดำเนินการ แต่ว่าถามว่าท้อไหม ไม่ครับ คนอย่างศรีสุวรรณไม่มีคำว่าท้อเรื่องประเภทนี้ เราก็คงทำหน้าที่ของเราต่อไปไม่หยุดไม่หย่อนนะครับ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลหรือใครจะมาเป็นฝ่ายค้านฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ ผมก็ทำหน้าที่ของผมมาโดยตลอด" ศรีสุวรรณกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"

แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา

'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน

ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?

ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่

ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด

นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย

จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง

จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567

ยากจะขวาง‘โต้ง’นั่งปธ.บอร์ดธปท. แนวต้านขอสกัดจนนาทีสุดท้าย!

แม้จะมีข่าวว่า กรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเลือก เสี่ยโต้ง-นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่