สำหรับ นักเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงพรรคการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่จะมุ่งไปพรรคการเมืองที่มีโอกาสพาตนเองเข้าสภาผู้แทนราษฎร หรือการเป็นรัฐบาลเพื่อนำงบประมาณลงสู่พื้นที่
แต่สิ่งที่เกิดกับ พรรคพลังประชารัฐ ในขณะนี้ สามารถเรียกว่า ปรากฏการณ์เลือดไหล ก็ได้ เพราะมี ส.ส.มากกว่าสิบชีวิตเตรียมตัวขนของไปอยู่พรรคใหม่
ก่อนหน้านี้มี ส.ส.บางคนตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ ส.ส.เพื่อไปร่วมงานกับ เฮียกวง-นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้งที่พรรคสร้างอนาคตไทย ได้แก่ นายวิเชียร ชวลิต และ นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และยังมีข่าวว่าจะมี ส.ส.ตามไปอีกในไม่ช้า โดยเฉพาะ นายวัชระ ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส ที่ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จี้ถามความชัดเจนในการประชุมพรรคหลายรอบ
ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ มาดามเดียร์-นางวทันยา บุนนาค อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตแกนนำกลุ่มดาวฤกษ์ ทิ้งตำแหน่ง ส.ส.เพื่อย้ายไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีรายงานว่า อาจจะมี ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐบางคนตามไปอยู่ด้วยอีก
นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังปรากฏภาพ ส.ส.หลายคนของพรรคพลังประชารัฐ ไปร่วมทำกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทยของ เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข มาพักใหญ่ๆ แล้ว
ส.ส.ที่มีคนพบเห็นไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวซอยรางน้ำ ฐานบัญชาการใหญ่ของค่ายสีน้ำเงิน มีทั้ง นายอนุชา น้อยวงศ์ ส.ส.พิษณุโลก ที่มีความสนิทสนมกับ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ ที่ใกล้ชิดกับ พ่อลูกช่างเหลา-นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายวัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น ที่ใช้จังหวะถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐไปซบพรรคภูมิใจไทย
รวมไปถึง ส.ส.ในโซนภาคกลางของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น นายประทวน สุทธิอํานวยเดช ส.ส.ลพบุรี นายปฐมพงศ์ สูญจันทร์ ส.ส.นครปฐม และ 2 ส.ส.เพชรบุรี คือ ส.ส.เปี๊ยก-นายสุชาติ อุสาหะ และ ทนายกฤษณ์-นายกฤษณ์ แก้วอยู่ นักการเมืองสาย นายธานี ยี่สาร อดีตกลุ่ม 16
นายสมชาย วอนเพียร ส.ส.กาญจนบุรี ตลอดจนสองพี่น้องตระกูลสงฆ์ประชาจาก จ.ชัยนาท อย่าง ส.ส.แดง-นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท และ ส.ส.มันแกว-น.ส.นันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาภิวัฒน์ ซึ่งเป็นองคาพยพของพรรคพลังประชารัฐ
คนเหล่านี้มีการดีลกับบ้านใหญ่บุรีรัมย์เรียบร้อยมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนจะถูกพาไปเปิดตัวในงานวันคล้ายวันเกิด นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ส.กทม.เกือบทั้งหมดจะไม่ได้อยู่กับพรรคพลังประชารัฐ โดยขณะนี้ส่วนหนึ่งถูก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดึงไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย บางคนจะไปทำการเมืองกับ นายณัฐฏพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ ส่วนในราย น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ส.ส.กทม. ตกเป็นข่าวมีการดีลเพื่อจะย้ายไปลงสมัครกับพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะที่ กลุ่มปากน้ำ ของ เอ๋-นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ที่มี ส.ส. 6 คน กำลังถูกจับตามองอย่างมากว่า จะย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทยหรือไม่ เพราะรักใคร่กันดี ลูกสาวเป็นคนรักของลูกชายหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อีกทั้ง กลุ่มปากน้ำ เองมีปัญหากับ เสี่ยเฮ้ง-นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ
อีกคนที่มีแนวโน้มจะย้ายออกคือ "รองตี๋" นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตแกนนำบ้านริมน้ำ ที่ไม่เคยร่วมกิจกรรมกับพรรคพลังประชารัฐมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง มีข่าวว่าจะรีเทิร์นกลับพรรคเพื่อไทย
เช่นเดียวกับ บ้านใหญ่ชลบุรี ของ นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา ที่ลือกันว่าจะพา ส.ส.ชลบุรีบางส่วนกลับไปรีแบรนด์พรรคพลังชลให้เป็นพรรคภาคตะวันออก
และยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เปิดเผยตัว เพราะรอลาออกหลังยุบสภาหรือก่อนครบเทอม 90 วัน
กลุ่มใหญ่ๆ ในพรรคพลังประชารัฐตอนนี้ที่ยังตั้งการ์ดสูง เหลือเพียง กลุ่มสามมิตร ที่แม้ยืนยันว่าจะยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ หลังตกเป็นข่าวจะคัมแบ็กบ้านเก่าอย่างพรรคเพื่อไทย แต่หลายคนยังไม่เชื่อ เพราะเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองค่อนข้างรอบคอบ ชั่งตวงหลายปัจจัย ไม่ผลีผลาม รอดูสถานการณ์จนชัวร์
กลุ่มมะขามหวาน ของ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่มี ส.ส.ในมือ 6 คน กลุ่มเพื่อนเฮ้ง ของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และผู้อำนวยพรรคพลังประชารัฐ ที่มี ส.ส.ระยอง ฉะเชิงเทราบางส่วน กาญจนบุรีบางส่วน และจันทบุรี รวมไปถึง มุ้งชากังราว จ.กำแพงเพชร ของ นายวราเทพ รัตนากร ที่มี ส.ส.ในมือ 4 คน
แม้จนถึงนาทีนี้ บิ๊กป้อม จะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีใครย้ายออกไป แต่มันเป็นการตอบตามหน้าเสื่อ เพราะมีข้อมูลลูกพรรคตัวเองทุกคน
ที่ผ่านมา บิ๊กป้อม ก็มีความพยายามรั้งบางคน แต่รู้อยู่เต็มอกว่าถึงที่สุดก็ยากจะรั้ง เพราะ ส.ส.ทุกคนต่างต้องการอยู่ในจุดที่มีโอกาสเข้าสภา ในขณะที่กระแสของพรรคพลังประชารัฐไปต่อลำบาก ตลอดจนความไม่ชัดเจนของ 3 ป.
แต่ไม่ว่าใครจะเข้าจะออก ที่สุดแล้วพรรคพลังประชารัฐจะยังอยู่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพียงแต่อาจลดขนาดจาก พรรคขนาดใหญ่ เป็น พรรคขนาดกลาง เปลี่ยนสถานะจาก แกนนำรัฐบาล มาเป็น พรรคร่วมรัฐบาล
เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผลเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร "บิ๊กป้อม" ก็ยังมีอำนาจต่อรอง โดยเฉพาะเสียง ส.ว. 250 คน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปักหมุด‘ครม.สัญจร’เชียงใหม่ กู้ศก.-ฟื้นท่องเที่ยวหลังภัยพิบัติ
ประเดิมนัดแรก “ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่” หรือ “ครม.สัญจร” ของรัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดตระกูลชินวัตร
ตั้งแท่นงบฯเรือฟริเกตทร. จับตาเกมเตะถ่วง"เรือดำน้ำ"
แม้กระแสข่าวเล็กๆ ที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับกองทัพเรือ (ทร.) ว่ารัฐบาลอาจจะไฟเขียวเดินหน้า “เรือดำน้ำจีน” ต่อไป หลังจาก “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
'ไพบูลย์' เย้ยรัฐบาลไม่มีทางแก้รธน.ทั้งฉบับได้ทัน คาดอยู่ไม่ถึง 1 ปี
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุว่าร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จะตีความเป็นกฎหมายการเงิน
'พล.อ.วิชญ์' ชี้เป็นไปไม่ได้ 'สิระ' อ้างคนในบ้านป่าโทรเคลียร์ปม 'สามารถ' ถูกจับ
พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา คณะกรรมการมูลนิธิป่ารอยต่อ ในฐานะคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ ออกมาแฉว่า
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา