วันศุกร์นี้แล้ว 30 กันยายน ได้รู้กันสุดท้าย บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัวอีกครั้ง หรือจะต้องหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ตามมติของที่ประชุม 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่คาดว่าจากที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยกลางในเวลา 15.00 น. ดังนั้นเต็มที่ไม่เกิน 16.30 น.ก็คงรู้ผล
ในทางการเมือง ผลคำตัดสินที่ออกมา การที่พลเอกประยุทธ์จะรอดหรือจะร่วง มีผลแตกต่างกันทางการเมืองค่อนข้างมาก
หากพลเอกประยุทธ์คัมแบ็ก ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัวอีกครั้ง เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน มีหลายเรื่องรออยู่ เช่น การเตรียมความพร้อมในการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปกช่วง 18-19 พฤศจิกายน รวมถึงงานบริหารทั่วไป เช่น การรับมือและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหลายพื้นที่
ในส่วนของการเมือง คาดว่าสองแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคือ ภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ อาจใช้จังหวะนี้ขอให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีที่ว่างอยู่ หลังนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย จากประชาธิปัตย์ลาออกจากตำแหน่ง และกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ จากภูมิใจไทย ถูกศาลฎีกาสั่งให้หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกว่าศาลจะตัดสินเสร็จ ก็คาดว่าน่าจะกลางปีหน้า 2566 ภูมิใจไทยคงไม่ปล่อยให้โควตารัฐมนตรีว่าง
รวมถึงแม้แต่กับพลังประชารัฐเองด้วย ที่ก็อาจขอให้มีการปรับ ครม.ในส่วนที่ว่างอยู่สองตำแหน่งมาร่วมปี หลังมีการปลด ธรรมนัส พรหมเผ่า และนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ มาตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว โดยที่ยังไม่มีการแต่งตั้งคนใหม่เข้าไปแทน ทำให้เสียโควตารัฐมนตรีของพลังประชารัฐสองเก้าอี้มาร่วมปี แต่รอบนี้ หากมีการปรับ ครม. คนในพลังประชารัฐ คงเคลื่อนไหวให้ปรับในส่วนของพรรคด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เก้าอี้ว่างไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ทางการเมืองอะไร ยิ่งกำลังจะมีการเลือกตั้ง การที่คนของพรรคเข้าไปมีตำแหน่งรัฐมนตรี มันก็เป็นผลดีกับพลังประชารัฐเองด้วยตอนเลือกตั้ง โดยพบว่า เวลานี้ เริ่มมีหลายกลุ่มในพลังประชารัฐ จ้องตาเป็นมัน กับการปรับ ครม.รอบสุดท้าย เช่น กลุ่มปากน้ำของบ้านใหญ่อัศวเหม กลุ่ม ส.ส.ภาคใต้ เป็นต้น ที่ต่างก็รอลุ้นเกาะรถไฟขบวนสุดท้ายรอบนี้อยู่
แต่หากพลเอกประยุทธ์ไม่รอด ต้องหลุดจากนายกฯ ผลที่ตามมาทันทีคือ รัฐมนตรีทุกคนใน ครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการด้วย กลายเป็นครม.รักษาการ ขณะที่ฝ่ายรัฐสภา ทาง ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะต้องเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว.มาประชุมร่วมกันเพื่อโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่
ซึ่งช่วงรอเตรียมโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเป็นรักษาการนายกฯ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่เสร็จสิ้น
โดยคาดว่าพลเอกประวิตรจะเรียกประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทันทีในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 30 ก.ย. เพื่อหารือร่วมกัน หากเกิดกรณีพลเอกประยุทธ์หลุดจากนายกฯ เพื่อดูว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเอาอย่างไร
ไทมิงดังกล่าว จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมือง ว่าพี่น้อง 3 ป.และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลจะเอาอย่างไร?
เพราะเรื่องยุบสภา หลัง 30 กันยายน หากพลเอกประยุทธ์ไม่รอด ทางการเมืองทำได้ยาก เพราะสถานการณ์ไม่ค่อยเอื้อ เช่น ร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง อยู่ในขั้นตอนศาลรัฐธรรมนูญกำลังวินิจฉัยว่าขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ตามที่มีการยื่นคำร้องเข้ามา ที่คาดว่ากว่าจะวินิจฉัยเสร็จก็อาจเป็นช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคม ทำให้หากยุบสภาจะเกิดปัญหาตามมาได้ เพราะเท่ากับจะไปเลือกตั้งโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ที่สำคัญ จะขาดความชอบธรรมทางการเมือง
หากจังหวะการเมืองไปถึงจุดนั้น ก็อยู่ที่พี่น้อง 3 ป. และพรรคร่วมรัฐบาลจะตกลงกันได้หรือไม่ หากตกลงกันได้ และต้องการให้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว ก่อนการเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปกช่วง 18-19 พฤศจิกายน ก็อาจใช้วิธีเร่งการเลือกนายกฯ ให้เสร็จโดยเร็ว และตั้งรัฐบาลให้จบภายในเดือนตุลาคม และทำขั้นตอนต่างๆ เช่น การตั้ง ครม.-การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาให้เร็วขึ้น เพื่อให้มีรัฐบาลเต็มตัวภายในต้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อรับเอเปก และเตรียมจัดเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า ซึ่งหากตกลงกันได้ ทุกอย่างก็จบเร็ว
เพียงแต่การตกลงกันดังกล่าวจะออกมาสูตรไหน เพราะพลังประชารัฐตอนเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เสนอชื่อแค่พลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียว ทำให้พรรคไม่สามารถเสนอชื่อใครได้ ขณะที่ประชาธิปัตย์ก็มี ส.ส.น้อยกว่า ภูมิใจไทย จึงต้องดูว่า พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ จะยอมไหมที่จะดัน อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทยเป็นนายกฯ แต่ในส่วนของประชาธิปัตย์ อำนาจการต่อรองมีน้อย เพราะประชาธิปัตย์ มี ส.ส.น้อยกว่าภูมิใจไทย ทำให้ภูมิใจไทยมีสิทธิ์ต่อรองได้ เพราะใครต่อใครก็คงมองเห็นว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แคนดิเดตนายกฯจากประชาธิปัตย์ แรงหนุนการเมือง คงสู้เสี่ยหนู อนุทิน ไม่ได้
หรือสุดท้ายจะเกิดกรณีนายกฯ นอกบัญชีรายชื่อ โดยมีพลเอกประวิตรรอคั่วเก้าอี้ แล้วถ้าตกลงกันได้ให้เอาสูตรนี้ พลเอกประวิตรจะคุมเสียงทั้ง ส.ส.และ ส.ว.เพื่อดันให้ตัวเองเป็นนายกฯ คนนอกได้หรือไม่ เพื่อปลดล็อกไปสู่การเลือกนายกฯคนนอก เพราะหากเลือกใช้วิธีการนี้ จะมีการต่อรองกันในพรรคร่วมรัฐบาลสูงมากรวมถึงพวกพรรคเล็ก ก็จะขอมีเอี่ยวด้วย ที่สำคัญ ต้องประเมินแรงต้านนอกสภาด้วยว่าจะมีมากแค่ไหน เพราะอาจเกิดกระแสไม่ยอมรับ 3 ป.สืบทอดอำนาจกันเอง จากบิ๊กตู่มาบิ๊กป้อมขึ้นมา ในสังคมก็ได้ เรื่องแบบนี้ก็ประมาทกันไม่ได้ในทางการเมือง
การเมืองไทยหลัง 30 ก.ย. “บิ๊กตู่รอดหรือร่วง” มีผลกระทบตามมาหลายบริบท โดยเฉพาะหากพลเอกประยุทธ์หลุดจากนายกฯ แต่หากบิ๊กตู่รอด การเมืองในสภาและในพรรคร่วมรัฐบาล ก็เข้าสู่สภาวะปกติ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปักหมุด‘ครม.สัญจร’เชียงใหม่ กู้ศก.-ฟื้นท่องเที่ยวหลังภัยพิบัติ
ประเดิมนัดแรก “ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่” หรือ “ครม.สัญจร” ของรัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดตระกูลชินวัตร
ตั้งแท่นงบฯเรือฟริเกตทร. จับตาเกมเตะถ่วง"เรือดำน้ำ"
แม้กระแสข่าวเล็กๆ ที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับกองทัพเรือ (ทร.) ว่ารัฐบาลอาจจะไฟเขียวเดินหน้า “เรือดำน้ำจีน” ต่อไป หลังจาก “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่