
นับถอยหลังจากวันจันทร์ที่ 26 ก.ย. ก็เหลือเวลาอีก 5 วัน คือวันศุกร์ที่ 30 ก.ย. จะได้รู้กันแล้วว่า บิ๊กตู่จะรอดหรือจะร่วง จากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยวันดังกล่าวคนไทยทั้งประเทศจะร่วมลุ้นผลการลงมติของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า คำร้องคดี 8 ปี พลเอกประยุทธ์ สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ใน 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีดุลยพินิจ-การวินิจฉัยคดีอย่างไร
เบื้องต้นแวดวงการเมืองและนักกฎหมายมหาชนชี้ไปในทางเดียวกัน ว่าผลการลงมติของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 30 ก.ย. ที่คาดว่าจะเสร็จก่อนเที่ยง แนวโน้มฟันธงได้ว่าเสียงแตก ผลออกมาไม่เป็นเอกฉันท์แน่นอน เพียงแต่จะออกสูตรไหน จะออกมาแบบที่ร่ำลือกันทางการเมือง มติ 6 ต่อ 3 หรือ 5 ต่อ 4 หรือ 7 ต่อ 2 ซึ่งทั้งหมดยังเป็นแค่การคาดการณ์เท่านั้น ของจริงรอดูศุกร์นี้
ประเมินแล้ว การลงมติของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้อาจมีการกำชับเป็นพิเศษ ห้าม ข่าวรั่ว-มติหลุด
หลังก่อนหน้าเกิดกรณีข่าวรั่วเรื่องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 ให้พลเอกประยุทธ์หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่การเป็นนายกรัฐมนตรี จนทำให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญต้องยกเลิกการแถลงข่าวที่นัดกับสื่อไว้ เพราะมติรั่วไปก่อนแล้ว รวมถึงกรณี “เอกสารรั่ว” คำชี้แจงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อศาลรัฐธรรมนูญและเอกสารบันทึกความเห็นของมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ จนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญตกเป็นจำเลยต่อสังคมบางส่วนว่าเอกสารรั่วจากศาลรัฐธรรมนูญทั้งที่ข่าวหลายกระแสยืนยันว่า เอกสารรั่วจากคนข้างนอกศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดกรณีข่าวรั่วเกิดขึ้นก่อนการอ่านคำวินิจฉัยกลางในช่วงบ่าย 3 โมง มีการมองกันว่ารอบนี้ ทาง วรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ คงมีการสั่งให้คุมเข้มการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันศุกร์นี้เป็นพิเศษ นอกเหนือจากที่ใช้มาตรการปกติ เช่น การให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนต้องมอบ " โทรศัพท์มือถือ" ประจำตัวไว้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่เข้าประชุมจนถึงการอ่านคำวินิจฉัยกลางเสร็จสิ้นลง ขณะเดียวกันก็คงคุมเข้มเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญที่จะอยู่ในห้องประชุมตอน 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลงมติวินิจฉัยคดี ที่จะถูกสั่งให้นำโทรศัพท์มือถือมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญไว้จนกว่าการอ่านคำวินิจฉัยกลางเสร็จสิ้นลงเช่นกัน อันเป็นกระบวนการที่ศาลทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่รอบนี้อาจคุมเข้มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน หลังมีการลงมติเสร็จสิ้นแล้วในช่วงก่อนเที่ยง ก็คาดว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาพักรับประทานอาหารกลางวันประมาณ 1 ชั่วโมง และจะกลับมาประชุมร่วมกันอีกครั้งตอนบ่ายโมง จากนั้นจะมีการมอบหมายให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใดคนหนึ่ง ที่ต้องเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก เป็นตัวหลักในการ ร่างคำวินิจฉัยกลาง เพื่อนำไปอ่านกลางห้องพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งช่วงตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงบ่ายสามโมง ก็คงมีการคุมเข้มไม่ให้ข่าวรั่วเช่นกัน เพราะเป็นที่รู้กันว่า ตุลการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน จะมีที่ปรึกษา-ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ที่เรียกกันว่า ทีมหน้าห้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้คาดว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนก็คงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการที่จะพูดคุย โดยเฉพาะการต้องไม่หลุดไปพูดเรื่องมติที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ทีมงานหน้าห้องรู้ก่อนบ่ายสามโมง
มีการประเมินกันว่า การที่ตุลาการนัดอ่านคำวินิจฉัยกลางในช่วงบ่ายสามโมง คงเพราะประเมินแล้วว่า คำวินิจฉัยคดีนี้น่าจะยาวพอสมควร แม้จะเป็นการวินิจฉัยตีความแค่ว่า พลเอกประยุทธ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ต่อไปหรือไม่หลัง 24 ก.ย.2565 ตามคำร้องของฝ่ายค้าน แต่เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ เป็นที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศและมีผลต่อการเมืองสูง และตุลาการอาจมีความเห็นในแง่มุมข้อกฎหมายแตกต่างกันมาก จึงเท่ากับว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีเวลาประมาณสองชั่วโมงในการเขียนคำวินิจฉัยกลาง ส่วนการอ่านคำวินิจฉัยกลางคาดกันว่า หากตุลาการทั้งหมด ขึ้นนั่งบังลังก์ศาลรัฐธรรมนูญและเริ่มอ่านตรงเวลาคือบ่ายสามโมง ประเมินกันแล้วก็คาดกันว่าน่าจะเสร็จก่อน 16.30 น.
โดยคาดว่าวันดังกล่าวแวดวงการเมืองคงหยุดพักหายใจ รอลุ้นฟังผลคำตัดสินกันแบบใจระทึก โดยเฉพาะกองเชียร์ลุงตู่ทั้งหลาย แม้ฝ่ายกองเชียร์พลเอกประยุทธ์และฝ่ายรัฐบาลจะมั่นใจว่า พลเอกประยุทธ์จะคัมแบ็กกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัวหลังบ่ายสี่โมงวันศุกร์นี้ แต่ก็คงมีกองเชียร์บางส่วนมีเสียวในใจลึกๆ เหมือนกันว่า อาจจะไม่รอดก็ได้ แต่ผลจะออกมาแบบไหนก็รอลุ้นกันไป
มีการคาดหมายทางการเมืองกันว่า วันศุกร์ที่ 30 ก.ย.นี้ พลเอกประยุทธ์อาจจะปักหลักรอติดตามการอ่านคำวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ที่ กระทรวงกลาโหม หรือไม่ก็อาจเป็นบ้านพัก กรมทหารราบที่ 1 รอ. ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง ก็จะทำให้ พลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว และคาดว่า หากพลเอกประยุทธ์อยู่ที่กระทรวงกลาโหม ก็อาจจะมีการแถลงข่าวเปิดใจถึงผลคำตัดสินที่ออกมาที่กระทรวงกลาโหมเลย หรือไม่ก็อาจจะนั่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่จะแล่นไปรับที่กระทรวงกลาโหมเพื่อพากลับเข้าทำเนียบรัฐบาล แล้วพลเอกประยุทธ์อาจแถลงเปิดใจที่ทำเนียบรัฐบาลก็ได้ เพื่อขอบคุณประชาชนที่คอยให้กำลังใจสนับสนุนตัวเองมาโดยตลอด
แต่หากผลออกมาตรงกันข้าม คือศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไปหลัง 24 กันยายน 2565 เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีมาครบ 8 ปีแล้วตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ถ้าเป็นแบบนี้ คาดหมายกันไว้ว่า พลเอกประยุทธ์อาจจะขอตั้งหลักสักพักเพื่อประเมินสถานการณ์ก็ได้ อาจไม่แถลงข่าว แต่หากจะแถลง ก็อาจแถลงหรือให้ข่าวที่กระทรวงกลาโหมในลักษณะยอมรับผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ขณะเดียวกันเริ่มมีกระแสข่าวลือทางการเมืองออกมาในช่วงสุดสัปดาห์ว่า มีสัญญาณจาก ป่ารอยต่อ ไปถึงแกนนำฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลว่า วันศุกร์นี้ 30 ก.ย. ให้สแตนบายด์กันไว้ให้พร้อม หากไม่ได้ไปราชการต่างจังหวัดที่ไหน ขอให้รอการติดต่อจากป่ารอยต่อไว้ตลอดเวลา เพราะหากสุดท้าย บิ๊กตู่ไม่รอด บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้จัดการรัฐบาล อาจจะต้องเรียกประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยด่วนในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 30 ก.ย.นี้ทันที เพื่อหารือกันทางการเมืองว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป แต่หากถ้าพลเอกประยุทธ์รอด ศาลยกคำร้อง ก็คาดกันไว้ล่วงหน้าว่า บิ๊กป้อมและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอาจไปร่วมต้อนรับและให้กำลังใจพลเอกประยุทธ์ในเย็นวันเดียวกันทันที เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมไว้ทั้งสถานการณ์ที่เป็นคุณและไม่เป็นคุณกับบิ๊กตู่กันให้พร้อม
โดยผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมา หากพลเอกประยุทธ์คัมแบ็กทุกอย่างก็จบ การเมืองในรัฐบาลก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ รัฐบาลก็เดินหน้าทำงานที่รออยู่ต่อไป เช่น การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม การจัดเตรียมประชุมเอเปกเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้ และคาดว่าอาจจะมีการปรับ ครม.เกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม เพราะทั้งพลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ต่างต้องการให้ปรับ ครม.รอบสุดท้ายจากตำแหน่งที่ว่างอยู่ 4 เก้าอี้
แต่หากบิ๊กตู่ไม่รอด แบบนี้ก็เรื่องใหญ่ ทางบิ๊กป้อมและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต้องคุยกันแล้วว่าจะเอาอย่างไร จะส่งสัญญาณให้มีการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญนัดพิเศษ เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีช่วงไหน แล้วจะหนุนนายกฯ จากบัญชีรายชื่อคือ อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทยที่มี ส.ส.ในสภา มากกว่าประชาธิปัตย์ หรือจะเอานายกฯ คนนอกอย่างบิ๊กป้อม เพราะเรื่องยุบสภา เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองและร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะต้องเป็นกฎหมายหลักรองรับการเลือกตั้ง ยังค้างอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ กว่าจะจบก็คาดว่าสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
การตัดสินใจจะออกมาแบบไหน คาดได้ว่า 3 ป.-พรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ที่ยึดโยงกับฝ่ายรัฐบาล คงคุยกันหลายรอบกว่าจะตกผลึกว่าจะเอาแบบไหน
การเมืองไทยหลังจากนี้จะคลายล็อกหรือเดินเข้าสู่เดตล็อก จากผลคดี 8 ปีพลเอกประยุทธ์ ก็อยู่ที่ผลคำตัดสินที่จะออกมา 30 ก.ย.นี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย
ไปอีกราย! ธีระชัยลาออกทุกตำแหน่งใน พปชร.
'ธีระชัย' ลาออกทุกตำแหน่งใน พปชร. หลัง 'บิ๊กป้อม' ถอนตัวแคนดิเดตนายกฯ ขอกลับไปเป็นนักวิชาการอิสระ
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้
คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

