จับตาหลังคำวินิจฉัยล้มล้างปกครอง แกนนำสู้ต่อ-ติดดาบเจ้าหน้าที่

ผ่านไปแล้วสำหรับคดีที่ได้รับการจับตามองอย่างมาก ว่าจะเป็นตัวกำหนดอุณหภูมิทางการเมืองไทยนับจากนี้ได้ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ ณฐพร โตประยูร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งให้ อานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, พริษฐ์ ชิวารักษ์, จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, สิริพัชระ จึงธีรพานิช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และอาทิตยา พรพรม เลิกการกระทำอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 49  

โดย ณฐพร โตประยูร ร้องว่า การปราศรัยของอานนท์ และพวกรวม 6 ครั้ง เป็นการใช้เสรีภาพอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการชุมนุมและปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 

โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า การกระทำและพฤติกรรมต่อเนื่องของผู้ถูกร้อง 1-3 มีเจตนาซ่อนเร้น เซาะ กร่อนบ่อนทำลาย เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพมุ่งล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำกันเป็นเครือข่าย ขบวนการอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ยังสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1-3 และเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าวอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยที่ชัดเจน แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว จะไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ และการเคลื่อนไหวน่าจะร้อนแรงมากขึ้น หลัง ‘รุ้ง ปนัสยา’ ยืนยันหลังรับทราบคำวินิจฉัยว่าจะเคลื่อนไหวต่อ เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน โดยอ้างว่าไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง 

จริงๆ ท่าทีของแกนนำ 3 นิ้ว แจ่มชัดตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้เริ่มอ่านคำวินิจฉัยแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่การที่ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายอานนท์ ขอออกห้องประชุมไม่ฟังคำวินิจฉัยตามคำขอของนายอานนท์ นอกจากนี้แกนนำบางคนยังระบุว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการไต่สวน 

ซึ่งพยายามจะชี้ให้เห็นว่า ไม่ยอมรับ แม้สุดท้ายพวกเขาจะผิดก็ตาม 

ส่วนหนึ่งเพราะแกนนำแต่ละคนล้วนเคยถูกดำเนินคดีข้อหากระทำผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กันมาแล้วหลายกรรมหลายวาระ ต้องเข้า-ออกเรือนจำกันมาแล้วหลายครั้ง 

เป็นไปอย่างที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เคยวิเคราะห์ถึงผลลัพธ์เอาไว้ 3 แนวทาง ก่อนคำวินิจฉัยจะออกมาไม่กี่ชั่วโมง 

โดยนายปิยบุตรชี้ถึงกรณีศาลวินิจฉัยออกมาว่า เป็นการล้มล้างการปกครองเอาไว้ว่า จะเท่ากับการ ‘ปิดประตู’ การปฏิรูปสถาบัน  

และอาจเกิดเหตุการณ์เหมือนกับ กรณี Dred Scott v. Stanford ที่สหรัฐอเมริกา จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองในปี 1865 จนสูญเสียนับไม่ถ้วน 

“หากเป็นเช่นนี้ สังคมไทยก็จะเดินมาสู่ทางเลือกเพียงสองทางที่หลงเหลืออยู่ หนึ่ง อยู่กันไปแบบนี้ กับระบอบการปกครองแบบที่เป็นอยู่ที่มีลักษณะโน้มเอียงไปทางสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงมากขึ้นนับแต่ คสช.ก่อรัฐประหาร หรือสอง ระบอบอื่น” 

ขณะที่ฝ่ายรัฐ น่าสนใจอย่างมากสำหรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 คน และองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะมีผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการรับมือกับการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้อีกหลังจากนี้  

ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่เองไม่กล้ากระทำอะไรมาก แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแบบนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า พฤติกรรมของม็อบ 3 นิ้วเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ก็ย่อมมีความชอบธรรมในการดำเนินคดี หรือป้องกันการกระทำที่สร้างความเสียหาย 

นอกจากนี้ยังน่าติดตามอีกว่า จะมีคนนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ เพื่อเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ถูกร้องทั้งหมด เพื่อเอาผิดในข้อหากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ 

รวมไปถึงคนที่จะเข้าร่วมชุมนุมและแสดงพฤติกรรม ตลอดจนการปราศรัยในลักษณะเดียวกันหลังจากนี้ อาจจะกระทำได้ไม่ง่าย และอาจจะมีคนถูกดำเนินคดีมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ 

กรณีนี้ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการกำหนดอุณหภูมิทางการเมืองเป็นอย่างมาก ทางหนึ่ง ม็อบอาจเคลื่อนไหวต่อ โดยมีมวลชนเท่าเดิม ทางที่สอง มวลชนน้อยลง เพราะคนกลัวกระทำผิดกฎหมาย และสาม มีการจาบจ้วง กระทำผิดมากกว่าเดิม เพื่อแสดงความไม่พอใจ อันนำไปสู่ความรุนแรงในอนาคต 

ถือเป็นทาง ‘สามแพร่ง’ ของม็อบ 3 นิ้วเช่นกัน. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยังไม่จบ ศึกชิงอำนาจสภาสูง แผนสองกินรวบ ปธ.กมธ.ทุกชุด!

วันอังคารนี้ 23 ก.ค. คาดว่าคงไม่เกินช่วงเที่ยงๆ ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ผลการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อเลือก ประมุขสภาสูง-ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง-รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง รวมสามเก้าอี้ใหญ่สภาสูงจะออกมาอย่างไร

ตั้งกลุ่มสว.สีเขียว-ปิดดีล'อยู่บำรุง' 'บ้านป่าฯ'ยังมีของไม่วางมือ

การขยับทางการเมืองของ บ้านป่ารอยต่อฯ ภายใต้การนำของพี่ใหญ่ตระกูล วงษ์สุวรรณ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงนี้น่าสนใจไม่น้อย ทั้งกระแสข่าวดึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.

แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน

แจกเงินดิจิทัล1หมื่นบาท ปิดปาก 'ปุ๋ย คนละครึ่ง'?

รัฐบาลเพื่อไทยนำโดย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ผนึกกำลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ

ปริศนา'เรือดำน้ำ' เปิด5ประเด็นสะดุด'ตอ'

ทริปเร่งด่วน ที่ “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม นำทีม พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ จักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสายตรงของ “นายกฯ" และ “ชินวัตร” บินไปจีนเมื่อช่วงวันที่ 24-25 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำ S26T ที่ ทร.ไทยจ้างบริษัทของจีนสร้างไม่เป็นไปตามสัญญา

‘สภาสูง’ในเงื้อมมือค่ายน้ำเงิน ส่องภารกิจเลือก‘องค์กรอิสระ’

ภารกิจ 200 สว. แสดงตนต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มารายงานตัวครบจบไม่ขาดไม่เกิน แต่สวนทางกับความอลหม่านที่กลุ่มต่างๆ ภายในสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ด้วยกันเอง