กลิ่นอาย‘วัดพลัง’ก่อนคำวินิจฉัยปม8ปี ถอดรหัสเริ่มนับ60‘รอด’ที่เหมือน‘ไม่รอด’

ในช่วงระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สถานการณ์การเมืองอาจดูไม่เขม็งเกลียว 

ขั้วตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นิ่งอยู่ในที่ตั้งเพื่อรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกดดันศาลหรือกดดันรัฐบาล จะมีเพียงการออกมาแสดงความเห็นทางกฎหมายในทางลบต่อ "บิ๊กตู่" ซึ่งถือเป็นปกติ  

แต่ความน่าสนใจกลับไปอยู่ภายในรัฐบาลเอง ที่วันนี้ถูกมองว่ากำลังเปิดศึกวัดพลังกันระหว่างขั้วของ "บิ๊กตู่" กับขั้วของ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี 

เอกสารคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่สาระสำคัญคือระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ "บิ๊กตู่" ต้องเริ่มนับในปี 2560 ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบังคับใช้ ซึ่งหลุดออกมาสู่สายตาคนภายนอกในช่วงต้นสัปดาห์ 

คำชี้แจงของนายมีชัยทำให้เกิดปฏิกิริยาเป็น 2 แบบ แบบแรกคือ ฝ่ายที่อยากให้ "บิ๊กตู่" อยู่ต่อเกิดความมั่นใจ แต่ขณะเดียวกันทำให้ฝ่ายที่ต้องการอยากเห็น "บิ๊กตู่" หลุดจากตำแหน่ง หาข้อโต้แย้งเพื่อดิสเครดิตคำชี้แจงของนายมีชัย 

โดยเฉพาะประเด็นเรื่องบันทึกการประชุมของ กรธ. ที่นายมีชัยได้ระบุในคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า บันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 ที่ระบุถึงคำกล่าวของนายมีชัยที่ว่า ให้นับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยนั้น ซึ่งนายมีชัยชี้แจงว่า เป็นการจดรายงานที่ไม่ครบถ้วน เป็นการสรุปตามความเข้าใจของผู้จด กรธ.ยังไม่ได้ตรวจรับรองรายงานการประชุมดังกล่าว เพราะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย  

ซึ่งต่อมามีการเผยแพร่เอกสารบันทึกการประชุม กรธ. ครั้งที่ 501 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ที่นายมีชัยเป็นประธานการประชุม โดยในระเบียบวาระที่ 2 รับรองบันทึกการประชุมได้ระบุว่า กรธ.มีมติรับรองบันทึกการประชุมครั้งที่ 497 วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 ถึงครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ที่คณะอนุกรรมการพิจารณาตรวจบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมตรวจทานแล้วโดยไม่มีการแก้ไข  

ฝ่ายนี้พยายามชี้ให้เห็นว่าคำชี้แจงของนายมีชัยต่อศาลรัฐธรรมนูญขัดแย้งกับข้อความในบันทึกการประชุมดังกล่าว 

เอกสารสำคัญ 2 ฉบับถูกเผยแพร่ออกมาเพื่อหักล้างกันในเวลาไล่เลี่ยกัน มันทำให้ถูกมองว่าเป็นเรื่องระหว่าง ผู้มีอำนาจ กับ ผู้มีอำนาจ มากกว่าจะเป็นจากขั้วตรงข้าม 

โดยเฉพาะเอกสารคำชี้แจงของนายมีชัย มันสามารถอยู่ในมือของคนไม่กี่คนเท่านั้น นายมีชัยกับศาลรัฐธรรมนูญมีแน่นอน เป็น ผู้ส่ง กับ ผู้รับ อยู่ที่ว่ามันหลุดที่ใคร แล้วหลุดแบบตั้งใจหรือไม่ 

แต่หากไม่ได้หลุดจากนายมีชัยและศาลรัฐธรรมนูญ คำถามคือ แล้วยังมีใครที่มีเอกสารฉบับนี้อีกได้ ซึ่งไม่น่าจะใช่คนที่ไม่มีอำนาจ เพราะเป็นเอกสารสำคัญ  

ที่ผ่านมาจะเห็นเอกสารเหล่านี้ได้ต่อเมื่อมีการตั้งใจเปิดเผยจากคนที่ส่งคำชี้แจงให้ศาลเอง เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบเท่านั้น 

เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญกำลังตรวจสอบว่าเอกสารคำชี้แจงหลุดรั่วออกมาได้อย่างไร  

นอกเหนือจากการตรวจสอบที่มาที่ไป สิ่งที่น่าสนใจขณะนี้คือ คำหักล้างคำชี้แจงของนายมีชัยจากภายนอกกำลังได้รับการต่อยอด 

เพราะศาลกำลังหยิบประเด็นที่คนภายนอกกำลังถกเถียงกันไปพิจารณา โดยเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดส่งสำเนาบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 501 วันอังคารที่ 11 กันยายน 2561 ซึ่งมีวาระการประชุม รับรองบันทึกการประชุม ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ที่คณะอนุกรรมการพิจารณาตรวจบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมตรวจทานแล้วโดยไม่มีการแก้ไข  

โดยศาลให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันอังคารที่ 13 กันยายน 2565 และกำหนดนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไปในวันพุธที่ 14 กันยายน 2565  

แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไปในวันที่ 14 กันยายน แต่โอกาสที่จะคำวินิจฉัยในวันนั้นเลยค่อนข้างน้อย เพราะศาลเพิ่งได้รับเอกสารจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพียง 1 วัน ยกเว้นเสียแต่ว่าเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรส่งเอกสารไปให้ศาลรัฐธรรมนูญก่อนกำหนด ถึงมีโอกาสลุ้นในวันที่ 14 กันยายนเลย 

อย่างไรก็ดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ "บิ๊กตู่" ถูกจับจ้องเป็นอย่างมากว่า เป็นการต่อสู้กันระหว่างคนที่อยากให้ "บิ๊กตู่" อยู่ กับคนที่อยากให้ "บิ๊กตู่" ไป และต่างเป็นคนที่มี "เพาเวอร์" ทั้งคู่ 

เพราะระดับคำชี้แจงจากนายมีชัย ในฐานะประธาน กรธ.ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญมากับมือ ยังถูกลดทอนน้ำหนัก ซึ่งถือเป็นเกมที่แรงพอสมควร ทำให้โอกาสรอด-ไม่รอดของ "บิ๊กตู่" ยังอยู่ที่ 50/50 ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ที่สามารถมั่นอกมั่นใจได้แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ 

และขณะเดียวกันยังมีการมองกันอีกว่า ต่อให้ท้ายที่สุดคำชี้แจงของนายมีชัย ที่ให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของ "บิ๊กตู่" เริ่มที่ปี 2560 ก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อตัว "บิ๊กตู่" สักเท่าไหร่นัก 

จะดีแค่เพียงยังสามารถดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบเทอมได้ ได้เป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปกอย่างที่ตั้งใจ และได้มีโอกาสถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะเหลือโควตาอีก 2 ปี 

แต่โควตา 2 ปีตรงนี้จะกลายเป็นข้อเสียเปรียบของ "บิ๊กตู่" หากมีขบวนการสกัดกั้นไม่ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะของพรรคพลังประชารัฐ 

หากสังเกตเห็นในช่วงที่ "บิ๊กตู่" ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จะพบว่ามีความพยายามโปรโมต "บิ๊กป้อม" ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีอย่างออกนอกหน้านอกตาเป็นพิเศษ 

มีความพยายามโชว์ศักยภาพความเป็นผู้นำในตัว "บิ๊กป้อม" ไม่ว่าจะในมิติของพี่น้อง มิติของผู้บังคับบัญชา ว่ามีครบเครื่องไม่แพ้ "บิ๊กตู่" 

มีการปรับภาพลักษณ์ของ "บิ๊กป้อม" จากที่ต้องคอยมีคนประคองตอนเดิน กลับมีพละกำลังและเรี่ยวแรงในช่วงเป็นรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี 

ในการลงพื้นที่แต่ละครั้งมีประชาชนมาคอยรอต้อนรับ มอบดอกไม้และโอบกอดไม่ต่างอะไรกับตอน "บิ๊กตู่" ลงพื้นที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี 

ขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองดูนิ่งสงบ ไม่มีม็อบ ไม่มีการชุมนุม ต่างจากเมื่อตอน "บิ๊กตู่" ยังปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่ 

มีความพยายามที่จะสื่อออกมาให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่มี "บิ๊กตู่" ก็อยู่ได้ เพราะ "บิ๊กป้อม" สามารถทำหน้าที่แทนได้เหมือนกัน   

การทำแบบนี้อาจไม่ได้แค่หวังผลเฉพาะการขึ้นมาแทน "บิ๊กตู่" ทันทีในช่วงระยะเวลาที่เหลือกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ "บิ๊กตู่" หลุดจากตำแหน่งเท่านั้น แต่อาจจะมองข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า 

เพราะต่อให้ "บิ๊กตู่" สามารถไปต่อได้ แต่ระยะเวลา 2 ปีที่เหลือจะเป็นข้อจำกัดในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะถึงแม้ชนะเลือกตั้งและกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่จะสามารถบริหารได้เพียง 2 ปีเท่านั้น 

ในแง่ของการหาเสียง จุดนี้ย่อมถูกคู่แข่งในสนามเลือกตั้งนำไปดิสเครดิตได้ว่า หากเลือก "บิ๊กตู่" จะทำงานได้แค่ระยะสั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง และอาจจะเสียงบประมาณแผ่นดินในการจัดการเลือกตั้งใหม่อีก 

ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐที่เห็นว่าเข็น "บิ๊กตู่" ลำบากอยู่แล้ว จะใช้เป็นข้ออ้างในการผลักดันคนอื่นเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งคนคนนั้นคือ "บิ๊กป้อม" ที่เห็นกันแล้วว่าสามารถเป็นผู้นำได้ 

และขบวนการสกัด "บิ๊กตู่" จะเกิดขึ้นอีกครั้ง 

ดังนั้น ต่อให้ "บิ๊กตู่" รอดมาได้ แต่ก็ไปลำบาก ทางข้างหน้ามีแต่ขวากหนามที่ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายตรงข้ามที่วางเอาไว้ แต่รวมถึงฝ่ายตัวเองด้วย 

หากรอดปม 8 ปีได้ คงเป็นแค่การให้กลับมาสานงานต่อให้เสร็จ ในขณะที่ถึงวันนั้น ตัว "บิ๊กตู่" เองอาจจะเปลี่ยนใจและเลือกที่จะวางมือก็เป็นได้. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยังไม่จบ ศึกชิงอำนาจสภาสูง แผนสองกินรวบ ปธ.กมธ.ทุกชุด!

วันอังคารนี้ 23 ก.ค. คาดว่าคงไม่เกินช่วงเที่ยงๆ ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ผลการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อเลือก ประมุขสภาสูง-ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง-รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง รวมสามเก้าอี้ใหญ่สภาสูงจะออกมาอย่างไร

ตั้งกลุ่มสว.สีเขียว-ปิดดีล'อยู่บำรุง' 'บ้านป่าฯ'ยังมีของไม่วางมือ

การขยับทางการเมืองของ บ้านป่ารอยต่อฯ ภายใต้การนำของพี่ใหญ่ตระกูล วงษ์สุวรรณ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงนี้น่าสนใจไม่น้อย ทั้งกระแสข่าวดึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.

แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน

'บิ๊กป้อม' ประกาศจุดยืน พปชร. สั่ง สส. คว่ำร่างนิรโทษคดี 112 ทุกฉบับ

'บิ๊กป้อม' ส่ง 'ไพบูลย์' ย้ำจุดยืน 'พปชร.' ค้านรวมคดี ม.112 ทุกรูปแบบ ใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหตุฝ่าฝืนคำวินิฉัยศาลรธน. ขืนดึงดันโหวตคว่ำตั้งแต่วาระแรก

แจกเงินดิจิทัล1หมื่นบาท ปิดปาก 'ปุ๋ย คนละครึ่ง'?

รัฐบาลเพื่อไทยนำโดย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ผนึกกำลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ

ปริศนา'เรือดำน้ำ' เปิด5ประเด็นสะดุด'ตอ'

ทริปเร่งด่วน ที่ “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม นำทีม พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ จักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสายตรงของ “นายกฯ" และ “ชินวัตร” บินไปจีนเมื่อช่วงวันที่ 24-25 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำ S26T ที่ ทร.ไทยจ้างบริษัทของจีนสร้างไม่เป็นไปตามสัญญา