ลงมติ-จบเร็ว คดี 8 ปี "บิ๊กตู่" รอศาล รธน.นับหนึ่งสัปดาห์นี้

คดีคำร้องตีความวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแปดปี ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงตอนนี้ ถือว่าขยับเข้าใกล้ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยตีความให้สิ้นกระแสความข้อสงสัย หลังเรื่องนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดในแวดวงการเมืองและกฎหมายว่า สุดท้ายพลเอกประยุทธ์จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้หลัง 24 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ได้หรือไม่ หรือจะต้องลงจากหลังเสือ เก้าอี้นายกรัฐมนตรี จนต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ที่ตอนนี้ถือว่าคำร้องเตรียมถูกวางบนโต๊ะทำงาน 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเต็มที เพราะเมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในคำร้องของ ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าชื่อกันเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะส่งคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญ เช้าวันจันทร์ 22 สิงหาคม

ทำให้หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการ เตรียมนับหนึ่ง การพิจารณาคดีการเป็นนายกฯ ของพลเอกประยุทธ์ ของศาลรัฐธรรมนูญเร็ววันนี้ เพราะแม้องค์กรอิสระคือผู้ตรวจการแผ่นดิน จะไม่ยื่นคำร้องดังกล่าว แต่เมื่อดูตามช่องทางของรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ2561 ที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยคำร้อง

"เกี่ยวกับการสิ้นสุดลงของความเป็นรัฐมนตรี"

จึงไม่มีทางเป็นอย่างอื่น ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัยตีความแน่นอน

ทั้งนี้ โดยปกติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนที่มีวรวิทย์ กังศศิเทียม เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่จะนัดประชุมปรึกษาคดีกันสัปดาห์ละหนึ่งครั้งคือในวันพุธ แต่มีหลายครั้ง ประชุมเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เช่น ประชุมเพื่อลงมติวินิจฉัยคดีและอ่านคำวินิจฉัยกลางกันวันศุกร์ ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง

จึงต้องจับตากันว่า คำร้องสุดฮอตดังกล่าว ที่กำลังจะกลายเป็น เผือกร้อน ของศาลรัฐธรรมนูญ จะถูกนำเข้าที่ประชุม 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในสัปดาห์นี้คือ วันพุธที่ 24 สิงหาคมเลยหรือไม่ หรือหากไม่ทัน จะมีการประชุมนัดพิเศษช่วงวันพฤหัสบดี หรือศุกร์ที่ 25 กับ 26 สิงหาคมไหม เพื่อลงมติรับคำร้องไว้วินิจฉัย หรือจะต้องรอสัปดาห์ถัดไป

โดยประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายจับตามองก็คือ เมื่อศาลรับคำร้องไว้แล้ว สุดท้ายจะมีคำสั่งให้พลเอกประยุทธ์หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

ซึ่งไม่ว่าศาลจะมีคำสั่งหรือไม่มีคำสั่งออกมาในทางใด ย่อมต้องถูกตีความไปในทางการเมืองถึงโอกาส รอด-ไม่รอด ของพลเอกประยุทธ์ตามมาทันที ถึงแม้ว่าในทางข้อกฎหมายจะต้องรอฟังผลการลงมติของ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก่อนก็ตาม เพราะอย่างในรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง บัญญัติไว้โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า

"เมื่อศาลได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย”

ดังนั้น หากพลเอกประยุทธ์ไม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ การเป็นนายกรัฐมนตรี หรือถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ อันดับหนึ่ง ขึ้นมารักษาการแทน แวงวงการเมืองก็ต้องมองว่าการสั่งหรือไม่สั่งดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญอาจมีนัยบางอย่าง เพราะการสั่งหรือไม่สั่งดังกล่าว รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดให้เป็นเรื่อง หากปรากฏเหตุอันควรสงสัย

กระนั้นก็ตาม ไม่แน่เสมอไปว่า หากพลเอกประยุทธ์ไม่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะเป็นข่าวดี มีโอกาสรอด เพราะเมื่อไปดูคดีอื่นๆ เช่น คดีฝ่ายค้านยื่นให้ศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของสิระ เจนจาคะ สมัยเป็น ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ สิ้นสุดลง เพราะเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ในคดีทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาฯ

ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2564 โดยไม่ให้สิระหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนสิระมั่นใจมากว่าตัวเองรอด แต่สุดท้ายต่อมา 22 ธันวาคม 2564 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ให้สิระหลุดจาก ส.ส.

ดังนั้น ต้องบอกไว้ก่อน หากคดีพลเอกประยุทธ์ ถ้าศาลจะสั่งให้หยุดหรือไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็หาใช่คำตอบที่ตายตัวว่า พลเอกประยุทธ์ จะได้เป็นนายกฯ ต่อหรือต้องหลุดจากตำแหน่ง เพราะของจริงต้องรอ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ลงมติชี้ขาด

สำหรับประเด็นที่ว่าศาลจะใช้เวลาพิจารณาคำร้องคดีนี้เร็วแค่ไหน พบว่าแวดวงการเมืองและนักกฎหมายมหาชนส่วนใหญ่เชื่อศาลรัฐธรรมนูญปิดคดีนี้เร็วแน่นอน เพราะเป็นคดีที่เป็นแค่เรื่องข้อกฎหมาย อีกทั้งเป็นคำร้องคดีที่เกี่ยวกับตัวนายกรัฐมนตรีที่มีเรื่องกรอบเวลาการเป็นนายกฯ ดังนั้น หากศาลใช้เวลาพิจารณานาน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวม รวมถึงความเชื่อมั่นในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศด้วย

อย่างความเห็นของ รองศาสตราจารย์ ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่มีความเห็นในข้อกฎหมายว่า พลเอกประยุทธ์ไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้ต่อหลัง 24 สิงหาคมนี้ ระบุว่า

"หลังศาลรับคำร้องแล้ว ภายในไม่เกินหนึ่งเดือน น่าจะพิจารณาเสร็จ จริงๆ ใช้เวลาแค่ สองสัปดาห์ก็เสร็จ เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมาย เอกสารทุกอย่างมีหมดแล้ว ศาลเปิดดูได้เองหมด สามารถตีความได้เลย ไม่ต้องสืบพยาน และคดีนี้ไม่จำเป็นต้องฟังพยานผู้เชี่ยวชาญ เพราะเจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญถูกบันทึกไว้ชัดเจน อยู่ในรายงานการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และบันทึกหลักการและเหตุผล รวมถึงตัวรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องก็ตีความได้"

พิจารณาดูแล้ว เส้นทางคำร้องคดีแปดปีพลเอกประยุทธ์เดินไปตามนี้ ก็เตรียมนับหนึ่งได้ภายในสัปดาห์หน้านี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ลุง”กับ“อา”ใจถึงพึ่งได้ เฮือกสุดท้ายใน”บ้านป่า”?

“เปิดต้อนรับนักการเมืองเทรนด์เดียวกัน ที่รสนิยมในเรื่องของ พรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้อง ต้องมาก่อน เรื่องคำมั่นสัญญา การไม่หักหลังกัน เปรียบเหมือน ปฏิญญา-กฎเหล็ก ในการคบหากันของแวดวงคนใจนักเลง”

“อนุทิน-ภท.” “พยัคฆ์ติดปีก”

กรณีสถานการณ์ “กัญชา” พลิกจากเดิมที่จะถูกดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หักนโยบายพรรคภูมิใจไทยสร้างมา เป็นการออก พ.ร.บ. เพื่อใช้เฉพาะทางการแพทย์ วิจัย เศรษฐกิจเท่านั้น

ผลโหวตวุฒิสภาชุด13 ‘มงคล’ปธ.หัวใจสีเหลือง

ผ่านพ้นจนได้ สำหรับการเลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา 2 ตำแหน่ง แม้จะมีเรื่องขรุขระต้องนับคะแนนใหม่อีกรอบหนึ่ง ในการเลือกรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เนื่องจากมีคะแนนเกินมา 1 แต้ม

ยังไม่จบ ศึกชิงอำนาจสภาสูง แผนสองกินรวบ ปธ.กมธ.ทุกชุด!

วันอังคารนี้ 23 ก.ค. คาดว่าคงไม่เกินช่วงเที่ยงๆ ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ผลการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อเลือก ประมุขสภาสูง-ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง-รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง รวมสามเก้าอี้ใหญ่สภาสูงจะออกมาอย่างไร

ตั้งกลุ่มสว.สีเขียว-ปิดดีล'อยู่บำรุง' 'บ้านป่าฯ'ยังมีของไม่วางมือ

การขยับทางการเมืองของ บ้านป่ารอยต่อฯ ภายใต้การนำของพี่ใหญ่ตระกูล วงษ์สุวรรณ บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงนี้น่าสนใจไม่น้อย ทั้งกระแสข่าวดึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.

แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน