บิ๊กดีลการควบรวมกิจการ 2 กลุ่มทุนบริษัทขนาดใหญ่ในวงการโทรคมนาคม ระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ที่ถูกจับตามองทุกความเคลื่อนไหวมานานร่วมปี แต่ที่ผ่านมาดีลดังกล่าวไม่มีความคืบหน้ามากนัก เพราะทั้ง 2 บริษัทต่างรอไฟเขียวจาก “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ชุดปัจจุบัน” ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ช่วงเมษายนปีนี้ ซึ่งถึงขณะนี้ก็ร่วม 3 เดือนกว่าแล้ว แต่บอร์ด กสทช.ก็ยังไม่ได้มีข้อสรุปหรือมีมติอย่างเป็นทางการออกมา
จนกระทั่งตอนนี้บิ๊กดีลดังกล่าวถูกมองว่า กสทช.ที่มี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เป็นประธาน กสทช.คนปัจจุบัน คงต้องสร้างความชัดเจนออกมาได้แล้วว่า กสทช.จะไฟเขียวหรือจะสั่งล้มกระดานการควบรวมกิจการดังกล่าว หลังคณะอนุกรรมการที่บอร์ดใหญ่ กสทช.ตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีการรวมธุรกิจระหว่างทั้ง 2 บริษัท จำนวน 4 คณะ ได้ส่งรายงานผลสรุปของอนุกรรมการให้บอร์ด กสทช.ไปเมื่อ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา จนมีกระแสข่าวว่า กสทช.อาจจะเตรียมพิจารณาชี้ขาดเรื่องดังกล่าวภายในสัปดาห์นี้หรือช้าสุดไม่เกินเดือนสิงหาคม
อย่างไรก็ตาม พบว่าการขอรวมธุรกิจระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคม ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นฯ ที่มีเครือข่ายทางธุรกิจและสินทรัพย์ที่รวมกัน 2 บริษัทมีมูลค่ามหาศาลเป็นแสนล้านบาท และที่สำคัญ เป็น 2 กิจการที่มีประชาชนเป็นลูกค้า-ผู้ใช้บริการระบบโทรคมนาคมรวมกันหลายล้านคน ที่มีการมองกันว่าหากสุดท้าย ดีลนี้หากสามารถควบรวมกิจการได้ ยังไงผู้บริโภคย่อมได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการให้บริการ-ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของ 2 บริษัทที่จะรวมเป็นกิจการเดียวกัน โดยพบได้อย่างหนึ่งว่า ถึงตอนนี้เรื่องดีลควบรวมกิจการดังกล่าวเริ่มกลายเป็นประเด็นการเมืองมากขึ้นหลังมีข่าวว่า กสทช.ใกล้เคาะเรื่องนี้ แม้ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา "ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ กสทช." จะออกมาเปิดเผยหลังการประชุมบอร์ด กสทช.เมื่อ 4 ส.ค. ที่มีเนื้อหาโดยสรุปว่าบอร์ด กสทช.ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตัดสินใจ จึงได้ให้สำนักงาน กสทช.ไปทำการวิเคราะห์และส่งข้อมูลเพิ่มด้านต่างๆ เช่น เรื่องโครงสร้างการรวมธุรกิจ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด การลดอัตราค่าบริการ เพื่อส่งให้ กสทช.ได้พิจารณาอีกครั้ง ก่อนที่คณะกรรมการจะมีมติในเรื่องนี้ออกมา และย้ำว่าการพิจารณาของ กสทช.จะพยายามไม่ให้ยืดเยื้อ
แต่ระหว่างนี้ ในเชิงประเด็นการเมืองพบว่าเริ่มมีฝ่ายการเมืองออกมาให้ความเห็นและเคลื่อนไหวในเชิงไม่เห็นด้วย หากคณะกรรมการ กสทช.จะไฟเขียวให้มีการควบรวมกิจการกันได้ของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจโทรคมนาคม
เห็นได้จากเช่น นักการเมืองเริ่มออกมาขยับให้ความเห็นเรื่องนี้มากขึ้น เช่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล" ก็มีการออกมาระบุ โดยอ้างว่า ในวันที่ 10 ส.ค. จะมีการประชุมบอร์ด กสทช.เพื่อพิจารณาการควบรวมกิจการของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งในการควบรวมครั้งนี้จะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ TRUE-DTAC เกิน 50% ของส่วนแบ่งตลาด ในเรื่องนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยเอาไว้ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาแล้วว่า กสทช.มีอำนาจเต็มในการระงับการควบรวมธุรกิจ หากการควบรวมธุรกิจส่งผลให้เกิดการผูกขาด ซึ่งหากปล่อยให้มีการควบรวมกิจการ ผูกขาดธุรกิจดิจิทัล ต่อไปเอกชนก็จะไม่ต้องแข่งขัน ไม่เกิดนวัตกรรม ไม่เกิดการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ เพราะสามารถที่จะทำกำไรได้จากการผูกขาด เป็นการทำกำไรบนความลำบากของประชาชน ขอเรียกร้องให้ กสทช.ใช้อำนาจที่มีอยู่ทำตามความเห็นของอนุกรรมการของ กสทช.ทั้ง 4 คณะ ในการยับยั้งการควบรวมกิจการของ TRUE และ DTAC เพราะไม่มีเหตุผลเลยที่บอร์ด กสทช.จะปฏิเสธความรับผิดชอบอ้างว่า แค่รับจดแจ้งรายงานไม่มีอำนาจยับยั้ง
ส่วนความเห็นของ สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร สภาองค์กรของผู้บริโภคและอดีต กสทช. ให้ความเห็นผ่านเวทีเสวนา “ชะตากรรมผู้บริโภคกับยุคผูกขาดคลื่นความถี่” ที่จัดไปเมื่อ 2 สิงหาคม โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค กรณีผลกระทบที่จะเกิดจากการควบรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคม ของ 'ทรู-ดีแทค' และเอไอเอส ประกาศควบรวมกิจการอินเทอร์เน็ตบ้าน กับทรีบรอดแบนด์ (3BB)
พบว่า สุภิญญา-อดีต กสทช. ระบุตอนหนึ่งว่า กรณีควบรวมทรู-ดีแทค หากควบรวมกิจการกันจะทำให้ตลาดเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงแค่ 2 ราย ผู้บริโภคจะไม่มีทางเลือก กสทช.ต้องปลดล็อกปัญหานี้ให้ได้ ด้วยมีอำนาจลงมติจะให้เกิดการควบรวมทรู-ดีแทคหรือไม่ รวมถึงกรณีเอไอเอสกับ 3BB ด้วย ทั้ง 2 กรณีนี้หากเกิดขึ้นจะเป็นฝันร้ายของผู้บริโภค กสทช.ต้องแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมในการลงมติคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการโทรคมนาคม โดยหากเอกชนไม่เห็นด้วยก็ให้ไปฟ้องร้องที่ศาลปกครอง สุดท้ายกระบวนการยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็อยู่ที่ การพิจารณาและตัดสินใจของ กสทช.ว่าจะออกมาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ นพ.สรณ-ประธาน กสทช. เคยบอกไว้ว่า หลักการทำงานของ กสทช.รวมถึงนโยบายที่ให้ไว้หลัง กสทช.เข้ามาทำหน้าที่คือ ต้องยึดมั่นหลัก Integrity ขององค์กร สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและสังคม ว่า กสทช.จะดูแลผลประโยชน์ให้เขา และสามารถกำกับดูแลกิจการให้มีความยุติธรรมและเท่าเทียม เป็นไปตามกฎหมาย
"นโยบายที่ให้คือ Integrity Justice and Equality ความน่าเชื่อถือ ความยุติธรรม และความเท่าเทียม องค์กรต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่าจะรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศ และบังคับใช้กฎหมายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เอกชนและประชาชนมั่นใจถึงนโยบาย และการพัฒนาที่จะช่วยเอื้อตลาดให้เติบโต รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์ของโครงข่ายให้เข้าถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน"
จึงต้องบอกว่า การตัดสินใจของ กสทช.ในเรื่องดีลควบรวมกิจการทรู-ดีแทคฯ ที่เป็นเผือกร้อนรอการตัดสินใจของ กสทช.อยู่ในเวลานี้ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีถึงการทำงานของ กสทช.ชุดปัจจุบันว่าประชาชนจะเห็นอย่างไร และจะให้ กสทช.สอบผ่านการทำงานหรือไม่ ขอให้อดใจ รอติดตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก้าวต่อไป ‘รทสช.’ ปี 2568 ติดสปีดผลงาน-โกยคะแนน
ต้องฝ่าฟันมรสุมกันระลอกใหญ่ส่งท้ายปี 2567 สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จากพรรคน้องใหม่จนถึงปัจจุบันสู่ปีที่ 3 แล้ว ภายใต้การนำของ “พี่ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค ซึ่งพรรคได้โควตาร่วมทัพรัฐบาลเพื่อไทย และได้กระทรวงที่หมายปองมาครอบครองสมใจ
การเมืองไทยปี 68 เข้มข้น-ขับเคี่ยว-ร้อนแรง ซักฟอกมี.ค.-ปรับครม.กลางปี
การเมืองไทยไม่ว่าปีไหนๆ ก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นได้ตลอด บางเรื่องเกิดขึ้นตามปฏิทินการเมือง แต่บางประเด็นเป็นความร้อนแรงที่แทรกขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
'ปชน.'ถอย'ม.112'แลกอุดมการณ์ เพิ่มคะแนนนิยม'เท้ง'เฉือน'อิ๊งค์'
ผลสำรวจความเห็นของประชาชน 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หัวข้อ ความนิยมทางการเมือง ในไตรมาส 4 ปลายปี 2567 ให้ผลที่น่าสนใจ เมื่อ 'เท้ง’- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นนักการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดอันดับ 1
ปี67‘อดีตสว.’ขยับสะเทือนถึงรัฐบาล ถอดถอน‘เศรษฐา’ที่มาของหลายเรื่อง
การเมืองรอบปี 2567 เหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดต้องยกให้กับศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตามมา วันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ยกให้เป็นเหตุการณ์แห่งปี
‘ทักษิณ’ไม่กล้าเขี่ย‘ภท.-รทสช.’
เป็นความสัมพันธ์ที่แม้แต่คนภายนอกยังมองออกว่ากระท่อนกระแท่น สำหรับความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
สวมบท'อินฟลูอาเซียน' จุดเสี่ยงใช้ประเทศเดิมพัน?
ยืนยันชัดเจนจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หลังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Anwar Ibrahim พร้อมรูปภาพคู่กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี