ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจบ 11 รัฐมนตรีรอดหมด แต่เหมือนเป็นสารตั้งต้นไปสู่ประเด็นใหม่ โดยเฉพาะควันหลงคะแนนไม่ไว้วางใจของ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่หลายคนมองว่าเป็นแผน "พี่วางยาน้อง"
6 ส.ส.สมุทรปราการ มุ้งของบ้านใหญ่ปากน้ำ "เอ๋" ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ที่เป็นตัวแปรให้ "บิ๊กป๊อก" เสียรังวัดในเวทีซักฟอก นอกจาก "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะไม่ลงแส้ ยังตกรางวัล สัญญาต่อหน้าธารกำนัลจะปูนบำเหน็จเก้าอี้รัฐมนตรีให้
ไม่โอบอุ้ม "บิ๊กป๊อก" แต่หันไปโอ๋ "ก๊วนเด็กดื้อ" ที่เพิ่งทำผิดมติพรรค พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์สลัดข้อครหา "ให้ท้าย-หลิ่วตา" ลำบาก
และนั่นมันยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวที่ว่า "บิ๊กป้อม" เบื่อการแก้ปัญหาห้วยหนองคลองบึง อยากจะย้ายมานั่งทำงานแถวคลองหลอด "เพื่อวางขุมกำลังเตรียมการเลือกตั้งในครั้งหน้า"
อย่างไรก็ตาม แม้การเขย่าเก้าอี้ รมว.มหาดไทยของ "บิ๊กป๊อก" ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ต้องยอมรับว่า หนนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่แรงที่สุดนับตั้งแต่เขย่ามา
เคลื่อนไหวชนิดที่ว่า "บิ๊กป๊อก" ยังสัมผัสถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงได้ ขณะเดียวกัน กรณีนี้ยังเป็นการโยนความกดดันไปให้ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม อีกทอดหนึ่งว่า จะตอบสนอง "พี่ใหญ่" หรือจะดื้อแพ่งอุ้ม "พี่รอง" ต่อ
ครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นปลายเทอมของรัฐบาล เป็นโหมดจัดทัพเตรียมการเลือกตั้ง ในขณะที่กระแสพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ดีเลย
พูดกันตามตรง หาก 3 ป.หมายจะเดินไปด้วยกันต่อ และยังคงใช้พรรคพลังประชารัฐเป็น "นั่งร้าน" หลัก "บิ๊กป้อม" สามารถทำหน้าที่สอดประสานกับ ส.ส.และผู้สมัคร ส.ส.ได้ดีกว่า "บิ๊กป๊อก"
ที่น่าจับตาคือ การที่ "บิ๊กป้อม" กล้าให้สัญญาใจกับ "ก๊วนปากน้ำ" ว่าจะยกเก้าอี้รัฐมนตรีให้ 1 ตัว มันพออนุมานได้ว่า น่าจะมีการพูดคุยเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) กับ "บิ๊กตู่" ไปบ้างแล้ว
การปรับ ครม.จึงน่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และเก้าอี้ที่น่าสนใจที่สุดคือ "มท.1" จะมีการขยับเขยื้อนเกิดขึ้นหรือไม่
ซึ่งไม่ว่าจะเป็น รมว.มหาดไทยคนเดิม หรือ รมว.มหาดไทยคนใหม่ สามารถทำให้เห็นเค้าลางทิศทางการเมืองไทยต่อจากนี้ได้พอสมควร
อย่างไรก็ดี นอกจากประเด็นปรับ ครม.ครั้งสุดท้าย อีกปมร้อนที่น่าสนใจคือ "กติกาการเลือกตั้ง" ที่วันนี้อยู่ในโหมด "อลเวง" สุดๆ ผู้มีอำนาจกลับไปกลับมาจนจับจุดไม่ได้
ร่างดั้งเดิม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใช้สูตรหาร 100 ในการคำนวณหา ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่มาในวาระ 2 ผู้มีอำนาจกลับเปลี่ยนใจอยากใช้สูตรหาร 500 หลังประเมินแล้วว่าหาร 100 ตัวเองไม่ได้เปรียบ
เหมือนทุกอย่างจะนิ่ง ลงตัวที่หาร 500 แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น นักเลือกตั้งในองคาพยพไปนั่งดีดลูกคิดคำนวณพบว่า สูตรนี้นอกจากไม่ได้เปรียบ แถมยังจะเสียเปรียบ ความคิดที่จะกลับมาหาร 100 ตามเดิมจึงเกิดขึ้น
ว่ากันว่า ในการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ระหว่างหารือในวงเล็ก "บิ๊กป้อม" แจ้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเลยว่า ต้องการเอาหาร 100 กลับมาทันที แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเบรกไว้ก่อน เนื่องจากตามขั้นตอนไม่สามารถกลับไปได้เลย เพราะโหวตหาร 500 ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยตามน้ำ ให้ไหลไปที่ กกต.และกลับมารัฐสภา ถึงตรงนั้นค่อยว่ากัน
ความคิดที่จะกลับไปหาร 100 ถือว่าเรื่องใหญ่แล้ว แต่ในวงเล็กวันนั้นไปไกลกว่านั้นคือ "บิ๊กรัฐบาล" บางคนส่งสัญญาณกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเลยว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปบัตรเลือกตั้งใบเดียว!
สัญญาณนี้ถือว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองพอสมควร เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการ "เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า" เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบยังไม่ได้ใช้เลยสักครั้ง
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนเอามากๆ ว่า ผู้มีอำนาจต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง
สำหรับปฏิบัติการ "คืนชีพบัตรเลือกตั้งใบเดียว" ถูกลือมาสักพักใหญ่ๆ แต่หลายคนไม่เชื่อว่าผู้มีอำนาจจะกล้าลงมือ เพราะจะให้คำตอบสังคมไม่ได้เลย เนื่องจากเพิ่งแก้กลับไปใช้บัตรสองใบหมาดๆ
กระทั่งกลิ่นมันแรงขึ้นในช่วงก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังลูกพรรคพลังประชารัฐได้รับรหัสลับ "กลับสู่จุดเริ่มต้น" จากระดับหัวในพรรค
และมันชัดแจ้งแดงแจ๋ก่อนลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่กี่ชั่วโมง เมื่อ "บิ๊กป้อม" แจ้งกับ ส.ส.ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
ที่มาของปฏิบัติการนี้ สืบเนื่องจากกูรูข้างตัว "บิ๊กป้อม" ไปนั่งคำนวณสูตรทุกสูตร ไม่ว่าจะเป็นบัตรสองใบ หาร 100 หาร 500 ตลอดจนบัตรใบเดียว แล้วพบว่า บัตรใบเดียวเหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด
โดย "โจทย์" ของการค้นคว้าคือ ทำอย่างไรไม่ให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ หรือทำอย่างไรไม่ให้พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลมีเสียงในมือเกิน 250 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้
เพียงแต่สูตรนี้ถูกทักท้วงกันค่อนข้างมาก ไม่เพียงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนาที่ไม่เห็นด้วย แต่ลูกพรรคพลังประชารัฐเองยังผวา
บัตรเลือกตั้งใบเดียวอาจจะเหมาะกับการเลือกตั้งครั้งก่อน แต่ไม่เหมาะกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่กระแสเบื่อ "บิ๊กตู่" กับไม่เอา "พลังประชารัฐ" รุนแรงมาก
ส.ส.ภาคเหนือ อีสาน และภาคกลางบางส่วน ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงกังวลในเรื่องนี้กันมาก เพราะเห็นว่าการใช้บัตรใบเดียวทำให้ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ต่อสู้กับผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยลำบาก ส่วนการใช้บัตรสองใบยังเป็น "ทางรอด" ได้บ้าง
ผู้สมัคร ส.ส.ที่มีความนิยมส่วนตัวยังสามารถขอประชาชนให้กาเลือก "ผู้สมัคร" แม้จะไม่ชอบพรรคที่สังกัดก็ตาม เพราะยังมีอีกใบให้ประชาชนเลือกพรรคที่ชอบได้
แต่ถ้าเป็นบัตรใบเดียว กระแสของ "บิ๊กตู่" และ "พลังประชารัฐ" ที่ไม่ดี จะทำให้ตัวผู้สมัคร ส.ส.ถูกดึงร่วงไปด้วย และบัตรใบเดียวมันเอื้อแค่เพียงพื้นที่ภาคใต้ที่พรรคพลังประชารัฐและกระแสลุงยังพอหลงเหลือเท่านั้น
เหตุนี้จึงทำให้เสียงโอดโอยของ ส.ส.ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาลดังระงมตั้งแต่มีข่าวคืนชีพบัตรใบเดียว
แต่เสียงสะท้อนเหล่านี้คงยากจะคะคานการตัดสินใจของผู้มีอำนาจได้ หากผู้มีอำนาจดีดลูกคิดแล้วทุบโต๊ะว่า "เอา"
เพราะต้องไม่ลืมว่า แม้ปัจจุบันจะมีสถานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ในสนามเลือกตั้งทุกคนคือ "คู่แข่ง" กันหมด หลายพรรคสามารถย้ายขั้วเปลี่ยนข้างได้ตามแต่สถานการณ์ ไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือนผู้มีอำนาจ
ฉะนั้น ผู้มีอำนาจไม่ได้สนพรรคอื่นมากกว่าตัวเอง
"ธง" คือ ทำอย่างไรให้อีกฝั่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ปัญหาของพรรคอื่นไปแก้กันเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องบัตรใบเดียวหลายคนยังแอบระแวงอยู่เหมือนกันว่า จะเป็นแผน "ลับ ลวง พราง" ของ 3 ป.หรือไม่ เพราะหลายครั้งที่มักเดินแผนเหนือเมฆ "จริงคือลวง ลวงคือจริง" สับขาหลอกมาไม่รู้เท่าไหร่
บางอย่างกว่าคนอื่นจะถึง "บางอ้อ" ก็แก้เกมไม่ทันแล้ว
ทหารยี่ห้อ 3 ป.อยู่กับการเมืองมาจนเป็นนักการเมือง รู้ทันนักการเมือง จนก้าวไปอยู่จุดที่เขี้ยว
หลายเรื่องมีอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอ เหมือนที่ระยะหลังมักมีคนชอบพูด "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจ 3 ป.".
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งแท่นงบฯเรือฟริเกตทร. จับตาเกมเตะถ่วง"เรือดำน้ำ"
แม้กระแสข่าวเล็กๆ ที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับกองทัพเรือ (ทร.) ว่ารัฐบาลอาจจะไฟเขียวเดินหน้า “เรือดำน้ำจีน” ต่อไป หลังจาก “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย