เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองพรรคเศรษฐกิจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาลภายใต้การนำของ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่อร่วมทำงานกับฝ่ายค้าน
ภายหลังพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 4 จ.ลำปาง หวังทำให้ภาพการเมืองชัดเจน เพื่อมีที่ยืนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยอ้างกระแสประชาชนไม่เอารัฐบาล โดยเฉพาะชาวบ้านในภาคเหนือ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน แม่ฮ่องสอน ลำปาง
แต่ยุทธศาสตร์นี้ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย จะได้ผลหรือไม่ แม้จะพยายามลงทุนให้ นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร เลขาธิการพรรค และนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและนายทะเบียนพรรคลาออกจากวิปรัฐบาล
ก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าทั้งหมดจะตัดขาดได้หรือไม่ เพราะอาจเป็นตำแหน่งที่เล็กเกินไปหากเทียบกับ กมธ.วิสามัญงบประมาณในปี 66 วงเงิน 3.18 ล้านบาท ที่ได้โควตาในสัดส่วน ครม. รวมทั้งการจัดสรรตำแหน่งให้พรรคเศรษฐกิจไทย ที่ยังทำหน้าที่การประชุมกันอยู่เวลานี้
ท่าทีเช่นนี้จึงทำให้ถูกดูแคลนว่าเป็นการเล่นละครเพื่อหาที่ยืนทางการเมืองเท่านั้น เพราะเลือกจะสร้างกระแสความชัดเจนเพียงไม่เอา “บิ๊กตู่”-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีที่เป็นคู่ขัดแย้งเพราะเหตุผลทางการเมือง หลังต่างฝ่ายต่างต้องการโค่นล้มซึ่งกันและกัน
คำถามตามมาหาก “ผู้กอง” ต้องการตัดขาดกับรัฐบาลจริงๆ เหตุไฉนต้องไปกราบลา “บิ๊กป้อม”-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ถ้าพรรคเศรษฐกิจไทยต้องการทำให้ตัวเองชัดเจน ไร้เยื่อใยกับรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องไปร่ำลา พล.อ.ประวิตร เพราะนั่นทำให้การแยกทางกันครั้งนี้เป็นเพียงปาหี่
และตราบใดที่ ร.อ.ธรรมนัสยังมองว่า พล.อ.ประวิตรเป็นเจ้านาย ย่อมหมายความว่ายังอยู่ภายใต้คอนโทรลที่ยังสามารถขอกันได้อยู่เสมอ
มันไม่ได้ช่วยทำให้พรรคเศรษฐกิจไทยได้คะแนนตรงนี้ และอาจเป็นแผลที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปขยี้และโจมตีได้
ขณะเดียวกัน ผลพวงของการประกาศแยกตัวของ “ร.อ.ธรรมนัส” อาจถูกโยงว่าจะกระทบต่อการไม่โหวตให้รัฐบาล ที่ประกอบไปด้วย นายกฯ และ 10 รัฐมนตรี ในการอภิปรายไว้วางใจสัปดาห์หน้า ระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม
มีคำถามว่า แล้ว ร.อ.ธรรมนัสกับ ส.ส.ทั้งหมด กล้ายกมือไม่ไว้วางใจ “พล.อ.ประวิตร” หรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ “ผู้กอง” ระบุผ่านทุกเวทีว่า “บิ๊กป้อม” ไม่มีความผิด เพราะไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย
อีกทั้งต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงสำคัญคือ “ผู้กอง” ขึ้นลิฟต์ทางการเมืองขึ้นชั้นมาเป็นรัฐมนตรีมีเครดิตทางการเมืองทุกวันนี้ รวมทั้งบรรดา ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย ที่ย้ายมาเป็นพรรคสาขา 2 ได้อย่างสะดวกไร้ปัญหาข้อกฎหมาย หรือก่อนหน้าเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐมาได้ ก็เพราะบารมี “พล.อ.ประวิตร” ทั้งสิ้น และเอาเข้าจริง วันลงมติซักฟอกจะมีใครหน้าไหนกล้าทรยศ “นายป้อม” หรือไม่
แต่หากจะอ้างแค่การไม่โหวตให้ “พล.อ.ประยุทธ์” หรือรัฐมนตรีคนอื่นๆ ก็ไม่ช่วยให้พรรคเศรษฐกิจไทยยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยได้ หรือจะทำให้คนฝั่งสีแดง สีส้มยอมรับได้ แต่จะมองว่าเป็นเพียงเรื่องความเคียดแค้นกับนายกฯ และรัฐมนตรีบางคนเสียมากกว่า
นอกจากนี้ การที่พรรคเศรษฐกิจไทยประกาศว่าจะไม่โหวตให้รัฐบาล มั่นใจได้อย่างไรว่า 16 เสียงของพรรคจะโหวตเป็นเอกภาพกันหมด เพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ในจำนวน 16 คนนี้อยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส แบบไปไหนไปกันเพียงไม่กี่คน
และมีราว 3-4 คน มีกระแสข่าวไปปรากฏตัวอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคเรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นบางคนตามมาพรรคเศรษฐกิจไทยเพราะ “บิ๊กน้อย”-พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตหัวหน้าพรรค
แต่วันนี้ พล.อ.วิชญ์แตกหักกับ ร.อ.ธรรมนัสไปแล้ว ส.ส.บางคนย่อมไม่ทำตามสัญญาณของ ร.อ.ธรรมนัสอย่างแน่แท้ คิดคำนวณแล้ว พรรคเศรษฐกิจไทยที่พร้อมจะโหวตตาม ร.อ.ธรรมนัส อาจเหลือไม่มากด้วยซ้ำ
หรือต่อให้พรรคเศรษฐกิจเป็นเอกภาพโหวตคว่ำรัฐบาลหมด แต่รัฐบาลก็ยังอยู่รอดปลอดภัยอยู่ดี เพราะวันนี้เสียงของรัฐบาลก็เกินกว่าฝ่ายค้านค่อนข้างมากถึง 84 เสียง ประเมินได้จากคะแนนในการลงมติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566
ไม่นับศึกซักฟอกครั้งที่ 4 นี้ ยังมีแนวโน้ม งูเห่า ขอหอบผ้าหอบผ่อนหนีร้อนมาพึ่งเย็นในฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น เพื่อโอกาสทางการเมือง ได้เป็น ส.ส.ในวันข้างหน้าทำงานให้แก่ชาวบ้าน
ฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลแทบไม่ได้ยี่หระกับท่าทีของพรรคเศรษฐกิจไทยเลย เพราะที่ผ่านมาแกนนำรัฐบาลแทบไม่ได้นับพรรคหอกข้างแคร่อยู่ในฝ่ายเดียวกับตัวเองอยู่แล้ว
หรือกรณีกลุ่มพรรคเล็ก 16 เสียง ที่รีบชิงออกมาโหนกระแสพรรคเศรษฐกิจไทย เอาเข้าจริงก็ได้แค่ส่งเสียงร้องหิว “กล้วย” เพราะจมูกไวรู้ว่า รัฐมนตรีไม่มีใครอยากได้คะแนนรั้งท้ายให้เสื่อมเสียเครดิตทางการเมืองก็เท่านั้น
และคงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ออกเดชอะไรมาก เพราะกฎหมายลูกเรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหาร 500 ยังไม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งอภินิหารทางกฎหมายเกิดขึ้นได้เสมอ
แตกต่างจากบทบาทของพรรคร่วมรัฐบาล ที่บัดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็สามารถฝากผีฝากไข้ได้ 100% จากการทำงานร่วมมือกันมาตลอด 3 ปีเศษ ท่ามกลางสัญญาใจจะจับมือกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านมาก็ดึง ส.ส.ลดทอนอำนาจจากฝ่ายค้าน จนอยู่ในสภาพไร้น้ำยา
รวมทั้งก่อนหน้านั้นยังปาดหน้า 3 ส.ส.พปชร. ได้แก่ นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา นายวัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น และ นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกจากอ้อมอกพรรคเศรษฐกิจไทยมาก่อนแล้วด้วย ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะทำให้ “นายกฯ” ต้องทุกข์ใจในเรื่องจำนวนเสียงของฝ่ายรัฐบาลในสภาฯ
แตกต่างจากโอกาสของพรรคเศรษฐกิจไทยบนกระดานทางการเมืองอาจแคบลงทุกที แม้ปากจะอ้างว่าตัดขาดกับรัฐบาล แต่เบื้องหลังยังขยิบตาให้ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งแท่นงบฯเรือฟริเกตทร. จับตาเกมเตะถ่วง"เรือดำน้ำ"
แม้กระแสข่าวเล็กๆ ที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับกองทัพเรือ (ทร.) ว่ารัฐบาลอาจจะไฟเขียวเดินหน้า “เรือดำน้ำจีน” ต่อไป หลังจาก “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย