หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) เมื่อ 22 พ.ค.2565 แบบแลนด์สไลด์ของจริง 1.3 ล้านคะแนน จนเกิดเป็นกระแสฟีเวอร์จนถึงปัจจุบัน สำหรับ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์-ผู้ว่าฯ กทม." และต่อมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 31 พ.ค. จากนั้น 1 มิ.ย. ชัชชาติเดินทางไปยังศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เพื่อเข้ารับตำแหน่งและเริ่มต้นทำงานวันแรกในฐานะผู้ว่าฯ เมืองหลวง
เท่ากับว่า ขณะนี้ ชัชชาติ เป็นผู้ว่าฯ กทม.มาแล้ว 1 เดือนเต็ม ท่ามกลางการจับตาจากสังคม ไม่ใช่แค่คน กทม.ว่า ผู้ว่าฯ กทม.ที่ได้คะแนนเสียงเยอะสุดเท่าที่เคยมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.กันมา ตัวชัชชาติจะสามารถทำงานพิสูจน์คำพูดตามสโกแกนช่วงหาเสียง “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ได้หรือไม่
ซึ่งต่อจากนั้นไม่นาน ชัชชาติได้เริ่มออกลูกแอ็กชัน มีการวางแผนและลงมือปฏิบัติการจริงในการแก้ปัญหาเรื้อรังของ กทม.ต่างๆ อาทิ น้ำท่วม การจราจรติดขัด ปัญหาด้านมลพิษ ซึ่ง “ชัชชาติ” บอกว่า การลงไปทำงานเร็วก็ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเร็ว และที่สำคัญคือการทำงานทุกอย่างต้องปราศจากการทุจริตโดยเด็ดขาด
ส่วนเรื่องการตัดสินใจของชัชชาติในประเด็นเชิงนโยบายหรือโครงการใหญ่ๆ ในความรับผิดชอบของ กทม.ที่ถูกจับตามองก็มีไม่น้อย แต่เรื่องสำคัญสุดตอนนี้คงไม่พ้นกรณีการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ของกลุ่มบริษัทบีทีเอส ออกไปอีก 30 ปี ซึ่งหลังเข้ารับตำแหน่งได้แค่ 2 วัน “ชัชชาติ” ได้เรียกประชุมหารือร่วมกับผู้บริหาร กทม.และตัวแทนบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) เพื่อขอดูรายละเอียดของสัมปทานการจ้างเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว พร้อมกำหนดกรอบการทำงานเพื่อหาข้อสรุปการแก้ปัญหาสัมปทานและภาระหนี้ของ กทม. โดยขอเวลาในการศึกษาเรื่องนี้ภายในเวลา 1 เดือน
และต่อมาก็เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่สำคัญกับกรุงเทพธนาคม คือที่ประชุมบริษัทมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดใหม่ 7 คน แทนคณะกรรมการบริหารชุดเก่าที่ลาออกยกคณะ เพื่อเปิดทางให้ชัชชาติเข้ามาจัดทัพในบริษัทใหม่ โดยมี ธงทอง จันทรางศุ อดีตอาจารย์จุฬาฯ ที่คุ้นเคยกับชัชชาติดีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยชัชชาติเป็นอาจารย์และทีมผู้บริหารอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานกรรมการบริหารกรุงเทพธนาคม
ส่วนที่ว่าสุดท้ายแล้ว กรุงเทพธนาคมและ กทม.จะมีท่าทีเรื่องนี้อย่างไร คาดกันว่าภายในเดือน ก.ค.นี้ เรื่องนี้อาจมีข้อสรุปบางอย่างออกมา หากไม่มีการซื้อเวลาออกไป
และอีกฉากความน่าตื่นเต้นที่หลายคนจับตามองก็คือ การที่ชัชชาติ อดีต รมว.คมนาคม ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยเป็น ผบ.ทบ. ทำรัฐประหารกลางสโมรสรกองทัพบก เมื่อ 22 พ.ค.2557 ที่วันดังกล่าวชัชชาติก็เข้าไปร่วมเจรจาหาทางออกทางการเมืองในนามตัวแทนคณะรัฐบาลด้วย จนสุดท้ายเมื่อเจรจากันไม่ได้ พลเอกประยุทธ์เลยประกาศยึดอำนาจและให้ทหารเข้ามาคุมตัวชัชชาติออกจากสโมสรกองทัพบก ที่ก็เท่ากับ ชัชชาติ กับ พลเอกประยุทธ์ ก็มีความหลังต่อกันที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
โดยชัชชาติได้เข้าทำเนียบรัฐบาลเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. เพื่อนำเสนอในที่ประชุม ศบค.ถึงเรื่องการถอดหน้ากากอนามัยในพื้นที่โล่งแจ้ง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ลดลง ซึ่งชัชชาติยอมรับว่า “ตื่นเต้น ไม่ได้เข้าทำเนียบฯ มาตั้ง 7-8 ปีแล้ว”
ท่ามกลางความสนใจของประชาชนว่า เมื่อพลเอกประยุทธ์กับชัชชาติที่มีปูมหลังไม่ดีต่อกัน ยามเมื่อมาเจอกันจะมีเหตุการณ์สถานการณ์ตึงเครียดหรือมีการแย่งซีนอะไรที่น่าตื่นเต้นหรือไม่ แต่ทุกอย่างในวันนั้นกลับสวนทาง เพราะการพบกันของทั้ง 2 คน ที่ต่างก็เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้บริหารบ้านเมือง ด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างมีวุฒิภาวะของตัวเองดีพอ ที่จะไม่แสดงออกอะไรต่อกัน แถมบรรยากาศ ท่าทีต่างๆ ของทั้ง 2 ฝ่าย ภาพก็ออกมาเชิงบวก เช่น พล.อ.ประยุทธ์ สวมบทเป็นไกด์พาชัชชาติชมจุดต่างๆ ภายในทำเนียบรัฐบาล มีการจับมือถ่ายภาพร่วมกัน กลายเป็นภาพแห่งความชื่นมื่นไป
รอบ 1 เดือนที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ จะพบว่าภารกิจและการทำงานของชัชชาติถูกถ่ายทอด มีข่าวออกมาทุกวัน บางวันก็มีข่าวออกมาตลอดตั้งแต่เช้ายันค่ำ เรียกได้ว่าขยับอะไรก็ตกอยู่ในความสนใจ เป็นข่าวทุกซีน ผนวกกับชัชชาติและทีมงานเชี่ยวชาญและให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสารสร้างภาพลักษณ์ทางโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว มันเลยเข้าทางชัชชาติในการสร้างอิมเมจ ภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง
โดยเอาเนื้องานที่ทำแต่ละวันเข้ามาสนับสนุนให้คน กทม.ได้เห็นว่า มีการเคลื่อนไหวทำงานตลอด 7 วัน ไม่มีวันหยุด รวมถึงลงไปร่วมกิจกรรมกับคนหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มรักสุขภาพ กับการวิ่งออกกำลังกาย แต่จริงๆ ก็ทำมาตลอดตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่ช่วงหาเสียงผู้ว่าฯ กทม.ด้วยซ้ำ หรือ กลุ่ม LGBTQ+ ที่ไปร่วมในกิจกรรมที่ถนนสีลม, กลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ก็ไม่พลาดกับกิจกรรมหลายอย่างที่ชัชชาติไปร่วมแจมด้วยตลอด เช่น ดนตรีในสวน เป็นต้น
ขณะเดียวกันในพื้นที่ กทม. หากเกิดเหตุด่วน-เหตุสำคัญอะไรที่ไหน ข่าวจะถูกนำเสนอในโทนว่า ชัชชาติลุยเสมอ ไม่ว่าจะดึกดื่น หรือยากลำบากแค่ไหน เช่น ไฟไหม้-น้ำท่วม ลงไปลุยหน้างานให้เห็นกันตลอด ผ่านการไลฟ์สด ส่วนที่ว่าชัชชาติไปแล้วจะได้เนื้องานจริงๆ หรือไม่ เป็นเรื่องที่คน กทม.ต้องติดตามและพิจารณากันต่อไป
แต่ก็ต้องยอมรับกันว่า เรื่องการวางแผนสร้างภาพลักษณ์ของชัชชาติและทีมงานถือว่าสอบผ่าน ให้คะแนนระดับเอบวกได้แบบไม่ต้องลังเลใจ แต่สำหรับงานส่วนอื่นๆ คน กทม.คงบอกว่า ขอเวลาดูการทำงานอีกสักระยะ ถึงจะบอกได้ว่า สอบผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะ 1 เดือนยังอาจเร็วเกินไป อย่างน้อยคงขอสัก 3 เดือน
ขณะที่ในภาพใหญ่ที่หลายคนจับจ้องกันก็คือ การผลักดันนโยบายที่ชัชชาติเคยหาเสียงไว้ 216 ข้อ ที่ชัชชาติบอกว่ามีหลายนโยบายที่สามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ แต่ทุกคนก็ยังตั้งข้อสงสัยว่าร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2566 ที่มียอดงบ 79,000,000,000 ล้านบาท ของ กทม.เอาไปทำอะไรบ้าง คำตอบคือ สามารถจำแนกตามประเภทงบ ได้ดังนี้
งบบุคลากร 17,568,399,310 บาท (คิดเป็น 22.24%) งบดำเนินการ 17,701,722,793 บาท (คิดเป็น 22.41%) งบลงทุน 10,383,088,891 บาท (คิดเป็น 13.14%) งบเงินอุดหนุน 5,272,268,680 บาท (คิดเป็น 6.67%) งบรายจ่ายอื่น 13,703,787,726 บาท (คิดเป็น 17.35%) และงบกลาง 14,370,732,600 บาท (คิดเป็น 18.19%) ซึ่งทาง กทม.ได้ประกาศเชิญชวนประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่อการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ของกรุงเทพมหานคร ผ่านทาง ส.ก.ในเขตพื้นที่ โดยชัชชาติจะนำเข้าสู่วาระการประชุมสภากรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 6 ก.ค.นี้
ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นมิติใหม่ของการทำงานอย่างเปิดเผย เพื่อให้กระบวนการตัดสินใจต่างๆ มีความโปร่งใส ที่ก็ต้องยอมรับว่าถูกใจคน กทม.ไม่ใช่น้อย
ส่วนเรื่องการออกประกาศ หรือคำสั่งต่างๆ ในหน้างานความรับผิดชอบ การเป็นผู้ว่าฯ กทม.ของชัชชาติ แม้จะออกมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่เป็นประเด็นร้อนที่สุดคือ การเซ็นประกาศพื้นที่ชุมนุมสาธารณะทั้ง 7 ในพื้นที่ของ กทม.เพื่อทดลองใช้ 1 เดือน โดยเริ่มเมื่อ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยต่อจากนี้ต้องรอดูกันต่อไปว่าพื้นที่ในกรุงเทพฯ จะมีตรงไหนประกาศเป็นพื้นที่ชุมนุมสาธารณะอีกหรือไม่ และการนำร่องเปิดพื้นที่ชุมนุมสาธารณะดังกล่าว สุดท้ายแล้วจะได้ผลในทางปฏิบัติหรือไม่
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรีวิวการทำงานและกิจกรรมต่างๆ ของชัชชาติในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยแม้ 1 เดือนอาจจะสั้นเกินไปที่จะประเมินว่าชัชชาติทำงานเข้าเป้า สอบผ่านหรือไม่
แต่ว่ากันตามสภาพ หากถามใจ คน กทม.เชื่อได้ว่า คน กทม.มีคำตอบในใจแล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งแท่นงบฯเรือฟริเกตทร. จับตาเกมเตะถ่วง"เรือดำน้ำ"
แม้กระแสข่าวเล็กๆ ที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับกองทัพเรือ (ทร.) ว่ารัฐบาลอาจจะไฟเขียวเดินหน้า “เรือดำน้ำจีน” ต่อไป หลังจาก “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย