'ชัชชาติ' ซื้อเวลา 1 เดือน ก่อนทุบโต๊ะขยาย-ไม่ขยาย สัมปทานสายสีเขียว

ภารกิจวันที่สองของการเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หลังประกาศไว้ตั้งแต่วันแรกในการเข้าทำงานที่ศาลาว่าการ กทม.เสาชิงช้า เมื่อ 1 มิ.ย. ว่า จะลุยงานในทันทีใน 4 เรื่องเร่งด่วน คือ 1.เตรียมปัญหาแก้ไขเร่งด่วนรับมือ 2.ความปลอดภัยทางถนน ทางม้าลายต่างๆ ยังมีปัญหาต่อเนื่อง 3.หาบเร่แผงลอย ย้ำว่านโยบายยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ต้องหาข้อสรุปในจุดที่สมดุล และ 4.เรื่องสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว

โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เรียกประชุมร่วมกับผู้บริหารของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ที่อยู่ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่ศาลา กทม.โดยมีการหารือร่วม 1 ชั่วโมงเพื่อพิจารณารายละเอียดสัญญาการเดินรถและสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงการนำสายสื่อสารลงดิน ท่ามกลางการจับตามองจากสังคมว่า สุดท้ายแล้ว กทม.ในยุคชัชชาติ จะมีท่าทีอย่างไรในเรื่อง "สัญญาร่วมลงทุนกับ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว" หลัง กทม.ยุค พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องการให้ ครม.เห็นชอบให้ขยายสัมปทานออกไปอีก 30 ปี (2572-2602) แต่ถูกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยขวางลำ จนเรื่องดังกล่าวสะดุดลงและผ่านมาถึงปัจจุบัน ที่เป็น เผือกร้อน ให้ชัชชาติตัดสินใจ หลังก่อนหน้านี้ชัชชาติเคยแสดงจุดยืนไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่าไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานออก

 ซึ่งหลังการหารือกับกรุงเทพธนาคมเสร็จสิ้นลง ชัชชาติ แถลงว่า เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวคาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 1 เดือน ซึ่งการหารือกับกรุงเทพธนาคม ทำให้ได้เห็นสัญญาการเดินรถที่จะสิ้นสุดในปี 2585 ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดภาระหนี้สิน จึงต้องนำข้อมูลมาตรวจสอบว่าภาระหนี้สินเกิดจากอะไรและสัญญาได้รับการอนุมัติจากสภากรุงเทพมหานครหรือไม่ และย้ำว่าขออย่าเอาหนี้สินมาเป็นตัวเร่งรัดการตัดสินใจระยะยาว แม้ว่าจะมีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

ชัชชาติ แสดงท่าทีในเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อไปว่า หากมีความจำเป็น กทม.ยังมีข้อบัญญัติในการกู้เงินที่จะนำมาชำระหนี้สินได้ โดยเป็นข้อบัญญัติที่ต้องผ่านสภากรุงเทพมหานคร และเป็นการกู้เงินจากรัฐจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกลงกว่าเอกชนกู้ สำหรับการขยายสัญญาสัมปทานที่มีกับ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ที่จะหมดในปี 2572 นั้น นายชัชชาติระบุว่า ยังไม่ได้มีการหารือ เพราะยังมีส่วนที่เกี่ยวข้อง สำนักการจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานครและสภากรุงเทพมหานคร เข้ามาพูดคุยข้อมูลและทบทวนการต่ออายุสัญญา โดยให้สภา กทม.ดูเนื้อหาอย่างละเอียดตามแนวทางปฏิบัติ เพราะสัญญาเดิมที่ค้างอยู่ใน ครม.ขณะนี้ เกิดขึ้นจากการพิจารณาของคณะกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นโดยใช้ ม.44 ทั้งนี้หากศึกษารายละเอียดเชื่อว่าจะมีจุดที่ทำให้สัญญาถูกลงได้ เพราะที่ผ่านมาไม่มีการใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนเข้ามาแข่งขัน

เมื่อสื่อถามว่า จะทำราคาค่าโดยสารถูกลง อยู่ที่ 25 บาทจะเป็นไปได้หรือไม่ ชัชชาติ ระบุว่า เป็นเป้าหมายที่ตั้งใจจะทำ และมีความเป็นไปได้ แต่ยอมรับว่าก็มีปัจจัยอื่นที่ควบคู่ไปด้วย เช่น โครงสร้างหนี้พื้นฐานที่จะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงกำไรและขาดทุน พร้อมมองว่าอีกหนึ่งแนวทางที่จะลดภาระหนี้สิน คืออาจจะเริ่มเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายทั้งสองส่วน เพราะปัจจุบันการให้บริการฟรีอาจจะไม่สมเหตุสมผล และส่งผลกระทบต่ออาชีพการให้บริการรถขนส่งสาธารณะที่จะขาดรายได้ ทั้งนี้ ต้องดูความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชนและเอกชนด้วย

"หลังจากได้ข้อสรุปจะต้องรายงานต่อพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย โดยจะสรุปข้อมูลเพื่อเข้าหารือให้เร็วที่สุด สิ่งที่ กทม.อยากทำมากที่สุดคือ การเร่งคืนหนี้สินให้รัฐบาลให้เร็วที่สุด และอยากขอให้ กทม.มาดูแลเรื่องการเดินรถเอง เพราะถือเป็นสมบัติของเมือง" ผู้ว่าฯ กทม.ระบุ

เมื่อเป็นดังนี้เท่ากับการสะสางปมสัญญาร่วมลงทุนกับบีทีเอสซี ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่างน้อยต้องรอไปก่อนหนึ่งเดือน และคน กทม.ต้องลุ้นว่า ชัชชาติ จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงมาได้จริงหรือไม่ รวมถึงท่าทีซึ่งบอกว่า อยากขอให้ กทม.มาดูแลเรื่องการเดินรถเองเพราะถือเป็นสมบัติของเมือง ทางชัชชาติจะมีแนวทางอย่างไร จะสามารถทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายและสัญญาต่างๆ ระหว่าง กทม.กับเอกชน ถ้าทำแล้วมันจะเกิดปัญหาตามมาหรือไม่ เพราะหากจะยกเลิกสัมปทานหรือไม่ต่อสัมปทานกับบีทีเอส แล้วภาครัฐ คือ กทม. มาเดินรถเอง แต่อาจว่าจ้างบีทีเอสให้มาบริหาร

แม้อาจทำให้สิ่งที่ชัชชาติเคยบอกว่า ต้องการทำให้ค่าโดยสารลดลงมา เพราะสายสีเขียวจะเป็นของรัฐ แต่ก็มีคำถามที่ กทม.ก็คงต้องปวดหัวไม่น้อยว่า จะไปควักเงินจากงบในส่วนใดมาชำระหนี้ร่วม 38,000 ล้านบาท ที่ค้างชำระมานาน จนบีทีเอสยื่นฟ้องเพื่อให้กรุงเทพมหานครจ่ายในส่วนค่าจ้างเดินรถ 12,000 ล้านบาท และยังมีหนี้ค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้าอีก 20,000 ล้านบาท จนทำให้ กทม.ยุค พล.ต.อ.อัศวิน ผลักดันให้ ครม.เห็นชอบ การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นเวลาอีก 30 ปี เพื่อแลกกับหนี้ค้างชำระกว่า 3.8 หมื่นล้านบาทมาแล้ว

ในช่วงที่ ชัชชาติ ขอเวลาหนึ่งเดือนในการศึกษาข้อมูลและสัญญาในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวดังกล่าว ทางภาคเอกชน บริษัท BTSC ที่ประกอบธุรกิจบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มี คีรี กาญจนพาสน์ เป็นประธานกรรมการ คงต้องรอลุ้นกันว่า กทม.จะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร และหากสุดท้าย กทม.ตัดสินใจแล้ว กระทรวงมหาดไทยในยุค บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น มท.1 ที่เคยเห็นดีเห็นงามกับ พล.ต.อ.อัศวิน ในการขยายสัมปทาน แต่หากมารอบนี้ ถ้าชัชชาติยืนยันไม่เอาด้วยกับการขยายสัมปทานแล้ว พล.อ.อนุพงษ์จะคัดค้านหรือเปลี่ยนมา เอาด้วยกับแนวทางของชัชชาติ เพราะการตัดสินใจเรื่องนี้ ที่มีมูลค่าสัญญาโครงการเป็นเงินมหาศาล กทม.ต้องส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณานำเข้าที่ประชุม ครม.ตัดสินใจ เพราะเรื่องไม่ได้จบที่ กทม.

อย่างที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี-มือกฎหมายรัฐบาล บอกไว้ก่อนหน้านี้ หลังถูกสื่อถามว่า หาก กทม.มีความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ครม.ไม่จำเป็นต้องเห็นชอบตาม กทม.ใช่หรือไม่ คำตอบคือ "ถูกต้อง เพราะถึงเวลาอาจต้องเสียเงินเสียทองใช้งบประมาณแผ่นดิน ครม.ก็มีสิทธิที่จะคิด ดังนั้น สุดท้ายต้องมาจบที่ ครม. แต่ต้องให้ กทม.ตั้งต้นว่าจะเอาอย่างไร"

หนึ่งเดือนต่อจากนี้ที่ ชัชชาติ ขอเวลาศึกษาก่อนตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งในเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต้องรอติดตามว่าเมื่อครบหนึ่งเดือนแล้ว ชัชชาติจะ ทุบโต๊ะ ออกมาหรือไม่ หรือจะยื้อซื้อเวลาอีกต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าการบริหารงานจริง กับสิ่งที่เคยหาเสียงไว้ ของจริง ตอนต้องตัดสินใจที่หากตัดสินใจผิด อาจมีปัญหาตามมา

เพราะรายละเอียดการตัดสินใจก็มีหลายประเด็นที่ต้องตัดสินใจ เช่น หนี้สินระหว่าง กทม.กับ BTS กว่า 38,000 ล้านบาท ทำให้การทุบโต๊ะเรื่องนี้ ในยามมานั่งเป็นผู้ว่าฯ กทม. มันจึงตัดสินใจยากกว่าตอนพูดหาเสียงขอคะแนนตอนเลือกตั้งหลายเท่านัก!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตั้งแท่นงบฯเรือฟริเกตทร. จับตาเกมเตะถ่วง"เรือดำน้ำ"

แม้กระแสข่าวเล็กๆ ที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับกองทัพเรือ (ทร.) ว่ารัฐบาลอาจจะไฟเขียวเดินหน้า “เรือดำน้ำจีน” ต่อไป หลังจาก “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม

ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว

สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์

ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"

แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา

'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน

ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?

ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่

ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด

นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย