รอยร้าวสังคมขยายวงกว้าง มหาอำนาจชิงปักหมุดไทย-อาเซียน

ยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการทวงคืนบัลลังก์ความเป็นมหาอำนาจ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร หลังจากปล่อยให้จีนรุกคืบเข้าไปปักหมุดสร้างพันธมิตรในประเทศที่ยากจน และกำลังพัฒนา ผ่านโครงการความช่วยเหลือ โครงการการลงทุนนานนับทศวรรษก่อนหน้านี้ ทำให้สัญญาณการเผชิญหน้าของสองพี่เบิ้มในโลกน่าสะพรึง

ในยุคของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐ ดำเนินกลยุทธ์ด้วยการใช้เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อน พร้อมกับใช้ความมั่นคงเป็นเครื่องมือกดดัน ต่อรอง โดยสะท้อนออกมาทางสงครามสามเส้า รัสเซีย-ยูเครน-ยุโรป อันเป็นพื้นที่ประลองกำลังทางด้านการทหาร โดยมีสหรัฐเป็นผู้กำกับ และจีนเป็นผู้ประเมินสถานการณ์ 

ถึงปัจจุบันสงครามยังยืดเยื้อ รัสเซีย "ปิดจ๊อบ" ไม่ได้ อีกทั้งยังสูญเสียทรัพยากรไปมหาศาล พันธมิตรที่เป็นคู่ตรงข้ามกับสหรัฐ ต่างมองดูปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างระมัดระวัง พร้อมใช้เครื่องมือด้านข้อมูลข่าวสารสนับสนุน เพื่อลดความเสียเปรียบของรัสเซียในการสู้รบ โดยใช้เครือข่ายจีนที่อยู่ในหลายประเทศผ่านสมาคม มูลนิธิต่างๆ เป็นศูนย์กลางในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง ไม่ต่างจากที่สหรัฐมักใช้ปฏิบัติการด้านข่าวสารทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม รัสเซีย-ยูเครน จากกลุ่มพันธมิตรต่อต้านสหรัฐ ในไทย เริ่มเห็นภาพชัดขึ้นจากการวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสังเกต ตีกันรัฐบาล ไม่ให้ตกหลุมพรางทำข้อผูกมัดใดๆ ภายใต้ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐ ผ่านแคมเปญล้มแผน นาโต 2

พร้อมหยิบยกการไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมในเรื่องดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ว่าอาจเป็นการเข้าข่ายการลงนามในสัญญา  โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ออกมาชี้แจงว่า อินโด-แปซิฟิกเป็นตัวยุทธศาสตร์ที่สหรัฐเขียนขึ้น ไทยไม่ได้ไปมีส่วนในการลงนามใดๆ ทั้งสิ้น และที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปลงนามนั้น ก็เป็นแถลงการณ์กรอบความร่วมมือ ไม่ได้มีผลผูกมัด

จากนั้น เวทีสาธารณะ “อย่าชักน้ำเข้าลึก อย่าชักศึกเข้าบ้าน” หัวข้อ ขจัดภัยการกดขี่ ด้วยสามัคคีทั้งแผ่นดิน ถือธงนำโดยนายไพศาล พืชมงคล ผู้ประสานงานกับเครือข่ายสมาคมไทย-จีน ตามมาด้วยการโพสต์เฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกมาประกาศ หลังประชุมอาเซียน-สหรัฐ (สมัยพิเศษ)จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำในภูมิภาค อย่างเผ็ดร้อน

พร้อมตั้งคำถามว่า ผลของการประชุม 2 ฝ่ายอาเซียน-สหรัฐนั้น ได้รับเงินช่วยเหลือมาเพียง 150 ล้านเหรียญฯ เฉลี่ยประเทศละ 80 ล้านบาท เท่ากับงบ อบต.จัดซื้อเสาไฟฟ้ากินรี และสำหรับประเทศไทย มีการประชุมพิเศษสองฝ่ายหรือทวิภาคีกับสหรัฐ และเป็นการประชุมด้านกลาโหม คือเรื่องความมั่นคงและเรื่องการทหาร ซึ่งกำลังถูกจับตาว่าเป็นการต่อยอดนาโต 2 หรือไม่

เรื่องอะไรที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำ อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนย่อมเป็นเรื่องที่ดี ควรที่จะมีการแถลงในรายละเอียดว่าได้ตกลงให้การช่วยเหลืออะไรกันบ้าง” นายไพศาลระบุ

ในการเดินทางไปครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พบหารือกับนายลอยด์ เจ. ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่ “เพนตากอน” โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี ระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่างๆ อาทิ การพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพและกำลังพล การฝึก/ศึกษาทางทหาร การฝึกร่วม/ผสม ความร่วมมือด้านไซเบอร์และอวกาศ และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนได้หารือถึงการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายและการปราบปรามการค้ามนุษย์

ส่วนของความร่วมมือในระดับภูมิภาค ไทยยินดีที่สหรัฐให้ความสำคัญกับการเพิ่มปฏิสัมพันธ์และการดำเนินบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในภูมิภาค บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน รวมทั้งยินดีที่สหรัฐสนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo - Pacific: AOIP) ที่มุ่งเน้นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยฝ่ายสหรัฐได้ย้ำความพร้อมดำเนินบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป และทั้งสองฝ่ายหวังจะได้สานต่อความร่วมมือระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการเดินหน้าโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่เอฟ-35 ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของหลายหน่วยงานของสหรัฐ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีชั้นความลับ ซึ่งสหรัฐจะพิจารณาขายให้ประเทศพันธมิตรที่ใกล้ชิด

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า “หลายคนก็จับตาว่านายกฯ จะมาพูดอะไร จะไปอยู่ข้างไหน จะไปอยู่อะไรกับใคร เราจะไปอยู่ข้างใคร ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำอย่างไรประเทศของเราจะไม่เสียหาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพกติกาของเขาด้วย นั่นคือหลักการของเรา ไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น ต้องว่าไปตามหลักการ”  

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การขยับตัวของกลุ่มต่อต้านสหรัฐ เป็นปฏิกิริยาที่ส่งต่อมาจากฝั่งจีนที่ไม่ต้องการให้สหรัฐกลับมาสู่พันธมิตรเดิม ด้วยใช้ยุทธศาสตร์ด้านการทหาร ซึ่งจีนก็ก็เริ่มใช้แนวทางดังกล่าวเข้ามาปักหมุดในอาเซียนในช่วง 5 ปีหลัง

เดิมประเทศไทยผูกสัมพันธ์กับสองขั้วมหาอำนาจด้วยพลังอำนาจของชาติต่างกัน โดยฝั่งอเมริกา ไทยจะใช้ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ส่วนทางฝั่งจีน จะใช้สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ แต่เมื่อจีนตัดสินใจเดินด้วยความมั่นคง ย่อมเกิดแรงสู้จากฝั่งสหรัฐ อีกทั้งหลักนิยม และทหารไทยส่วนใหญ่ รวมถึงระบบราชการของเรายังฝังรากลึกกับสหรัฐ

แต่ช่วงหลังรัฐประหาร รัฐบาล คสช. ไม่มีทางเลือก จึงต้องไปซบจีนเพื่อคานอำนาจกับฝ่ายประชาธิปไตย จึงยิ่งเป็นแรงกดดันให้สหรัฐเดินเกมรุกมากขึ้น จีนเองก็กลัวว่าจะเพลี่ยงพล้ำ จึงรุกกลับมากขึ้นเช่นกัน ในที่สุดจึงกลายเป็นความร้อนแรงด้วยภูมิรัฐศาสตร์ของไทยที่มีความสำคัญสูงยิ่ง

โดยพยายามโจมตีจุดอ่อนของจีน ในการทำเรื่อง debt-trap diplomacy ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศผ่านรูปแบบเงินกู้ เงินช่วยเหลือ แต่เมื่อถึงเวลาไม่มีเงินก็ยึดครองโครงสร้างพื้นฐาน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้น สปป.ลาว ศรีลังกา กัมพูชา ด้วยการปฏิบัติการหน้าฉากของภาครัฐ และงานใต้ดินที่มีอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมไปถึงการรุกคืบการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วยการแต่งงานกับคนไทย 

บริเวณชายแดนด้านบนและตะวันออกบางส่วนการเป็นพื้นที่กันชน และฐานที่มั่นของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง สายลับของจีนที่แปลงโฉมเป็นคนของ กาสิโน เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ฝ่ายตะวันตกก็จับตา ติดตามฐานที่มั่นเหล่านั้น แจ้งข้อมูลข่าวสารให้ฝ่ายไทยได้ติดตามตรวจสอบภัยคุกคามเหล่านั้น

ทั้งความพยายายามชี้ให้เห็นด้านลบของการเชื่อมโยงต่อยุทธศาสตร์ one belt one road หรือ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีน ที่เดิมจะใช้การขุด “คลองไทย” เชื่อมระหว่างท่าเรือเจ้าผิวก์ เมียนมา และฐานทัพเรือเรียม สีหนุวิลล์ มี และสนามบิน dara skor เกาะกง แต่จีนก็ขยับรุกคืบเข้ามาที่ไทยไม่ได้ง่ายตามแผน จึงมีความพยายามจะเชื่อมต่อปักธงในไทยด้วยแนวทางอื่น

และเริ่มมีการปฏิบัติการข่าวสารให้เครือข่ายจีนในประเทศไทยตอบโต้สหรัฐ ตะวันตกและยูเครน อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ด้วยการผลิต content เผยแพร่ในสื่อฝ่ายแอนตี้สหรัฐ จากกรณีที่เกิดขึ้นกับ ททบ.5 ซึ่งมีการไปลงนามความร่วมมือด้านการข่าวกับสถานทูตรัสเซีย จีน อิหร่าน ก่อนที่จะมาลงนามกับยูเครน เนื่องจากถูกโจมตีการทำหน้าที่ของสื่อที่ล้ำเส้นและถือหางคู่ขัดแย้งทางสงคราม

มีการวิเคราะห์ว่า หลังจากรัสเซียยังไม่สามารถชนะในสงครามยูเครนได้อย่างเด็ดขาดได้ จีนก็ชั่งน้ำหนักว่าศักยภาพทางด้านการทหารของตนเองจะเหนือกว่าสหรัฐหรือไม่ เพราะขนาดรัสเซียซึ่งมีสรรพกำลังและความแข็งแกร่งมากกว่าจีนมากยังไม่สามารถปิดเกมได้จนถึงขณะนี้

“สิ่งที่จีนตอบโต้สหรัฐเรียกว่า perception management โดยการทำ Cyber dominant จะเริ่มมีทีมไอโอ ทำคอนเทนต์ หาเครือข่ายร่วม สิ่งที่น่ากังวลระยะยาวคือ คนไทยจะแบ่งเป็นสองขั้ว คือขั้วหนึ่งเอาจีน และขั้วหนึ่งเอาสหรัฐ” เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของไทยรายหนึ่งระบุ

โดยที่จีนไม่มีความจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสหรัฐ หลังจากที่ประเมินแล้วว่ากำลังทางทหารเสียเปรียบจากข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ซึ่งสหรัฐก็กำลังเดิมเกมแทรกแซงการเมืองภายในในประเทศ ด้วยสร้างความนิยมในหมู่ที่ไม่เอาผู้นำที่สนับสนุนจีน ทำให้จีนโต้กลับด้วยใช้ soft power กดลงมาด้านล่างผ่าน cyber dominance ดังที่เห็นกันในข้อมูลผ่านเครือข่ายฝั่งที่หนุนจีน

  หากรัฐบาลไทยไม่ทำให้เกิดสภาวะสมดุลเกิดขึ้น และแบ่งงานในการผูกสัมพันธ์ทั้งสองขั้ว ก็อาจจะจุดชนวนให้เกิดการกดดันเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาล หรือล้มระบอบ เช่นที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ล่าสุดจากพฤติกรรมของประชาชนที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ ที่เลือกขั้วตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับประเทศไทย เห็นได้จากมวลชนในฝ่ายอนุรักษนิยมเริ่มแบ่งเป็นสองส่วน คือ "ไม่เอาประยุทธ์" แต่ "เอาประวิตร" เพราะ พล.อ.ประวิตรเป็น "พี่ใหญ่" ที่ใกล้ชิดกับฝ่ายจีน ช่วงการอนุมัติ "เรือด้ำน้ำ S26T" ของจีน เมื่อ 5-6 ปีก่อน พล.อ.ประวิตรก็ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมอยู่ด้วย

แต่ก็มาสะดุดที่ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ที่จีนไม่สามารถไปซื้อมาจาก “เยอรมนี” ได้ตามสัญญาที่บริษัทรับปากไว้ ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทีของบริษัทเยอรมนี มีสหรัฐเข้ามาเกี่ยวพันด้วยหรือไม่ 

และช่างประจวบเหมาะกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ที่ดูเหมือนมีผู้กำหนดสภาวะแวดล้อมให้ปมปัญหาต่างๆ เริ่มเดิมเข้าสู่ทางตัน ในห้วงเวลาที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มั่นคงเท่าใดนัก ผสมผสานกับการเมืองบนท้องถนนเริ่มออกมาเคลื่อนตัวอีกครั้งในประเด็นที่อ่อนไหวมากขึ้น

สิ่งที่น่าห่วงคือ ปัจจุบันประเทศไทยมีความขัดแย้ง-แตกแยกแบ่งเป็นสองขั้วความคิดอย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว จากฝ่ายอนุรักษนิยม-ฝ่ายก้าวหน้า เอาสถาบัน-ไม่เอาสถาบัน คนเจเนอเรชั่นเก่า-ใหม่ เชียร์รัสเซีย-เชียร์ยูเครน ตามมาด้วยเรื่องโปรจีน-โปรสหรัฐ, ตะวันตก

คนในชาติจึงก็ต้องรับฟังข้อมูลรอบด้านอย่างมีสติ ยึดประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และไม่เผชิญหน้ากันด้วยความขัดแย้งของผลประโยชน์ชาติอื่น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

"ดีเอสไอ" รับเผือกร้อนต่อ สางคดี "ดิไอคอน" ไม่ใช่เรื่องง่าย

คดีดิไอคอนกรุ๊ปถือเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงินที่ใหญ่ระดับประเทศ โดยมีความเสียหายสูงถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท จากการที่บริษัทดังกล่าวชักชวนประชาชนให้ลงทุนในสินค้าผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่เป็นเครือข่าย

ไม่ห้าว ไม่แตะ 'ของร้อน' ‘นายใหญ่’เน้นประคอง‘ลูกสาว’

สถานการณ์ของ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ช่วงนี้ค่อนข้าง ‘นิ่ง’ ‘นิ่ง’ ที่ไม่มีม็อบทางการเมืองขนาดใหญ่มากดดัน ตลอดจนผลงานที่ยัง ‘แน่นิ่ง’

เฝ้าระวังพื้นที่3จ.ชายแดนใต้ หลังรัฐไทยทำคดีตากใบ หมดอายุความ จำเลยลอยนวล

หลัง คดีตากใบ หมดอายุความไปเมื่อเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงต่อสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส

พรรคร่วมยกการ์ดสูง นิรโทษ112 ระแวงพท.-ปชน.ร่วมมือเฉพาะกิจ

จบไปแล้วกับ รายงานศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ที่มี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กมธ. ภายหลังสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาฯ ติดขัดไม่ได้ลงมติ เนื่องจาก “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ชิ่งปิดประชุมไปเสียก่อน

นับถอยหลังคดีตากใบหมดอายุความ รัฐล้มเหลว จำเลยลอยนวล

นับถอยหลังจากวันพฤหัสบดีที่ 24 ต.ค. ก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “คดีสลายการชุมนุมตากใบ” ซึ่งเกิดเหตุเมื่อ 25 ต.ค.2547 ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะ "หมดอายุความ" แล้วในเวลาเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 25 ต.ค.นี้