ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เพิ่งลงมติผ่านไปหมาดๆ ก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ คือ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้จัดตั้งพรรคการเมือง ผลสรุป (ยัง) คงให้ใช้ตามกฎหมายที่บังคับใช้ปัจจุบัน โดยเสียงส่วนใหญ่ในคณะ กมธ.ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ “อนันต์ ผลอำนวย” ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ เสนอมา แต่เห็นว่าทางเจ้าตัวและ ส.ส.บางฝ่ายจะขอสู้ต่อ โดยสงวนความเห็นไปอภิปรายในวาระ 2 อีก
อย่างไรก็ตาม ไทม์ไลน์หลังหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ เปิดมาคณะ กมธ.จะประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใหญ่ 2 ประเด็น ได้แก่ การจัดทำไพรมารีโหวต และ “วิธีการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ” ซึ่ง “นพ.ระวี มาศฉมาดล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ และ กมธ. ออกหน้าแทนพรรคเล็กอีกหลายพรรค คัดค้านวิธีการคำนวณของพรรคใหญ่ เพราะทำให้พรรคเล็กๆ เสียเปรียบ หรืออาจสูญพันธุ์ในการเลือกตั้งเที่ยวหน้า โดยอ้างเหตุผลการคิดคำนวณไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่ไม่ต้องการให้เสียงประชาชนตกน้ำ
ตอนนี้ “หมอระวี” ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยว่า บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เป็นโมฆะ เนื่องจากขัดเจตนารมณ์และขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 93, มาตรา 94 หรือไม่
ขณะเดียวกันมีข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นว่า รัฐธรรมนูญได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นแบบบัตร 2 ใบตั้งแต่ปีที่แล้ว และการพิจารณาของคณะ กมธ.ชุดนี้ ก็ทำเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น
จะเหลือก็แต่การถกเถียงจะคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อย่างไร???
ด้าน “หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่” เคยแถลงข่าวเปิดเผยว่า มี 3 แนวทาง คือ 1.สูตรของพรรคใหญ่ ที่ใช้คะแนนทุกพรรค หารด้วยจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งจะทำให้มีผลลัพธ์คะแนนต่อ ส.ส. 1 คน ที่ 3.7 แสนคะแนน
2.สูตรที่เสนอให้ใช้คะแนนพรรค หารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คน เพื่อให้ได้ ส.ส.พึงมี โดยมีคะแนน 7.4หมื่นคะแนน ต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
3.สูตรพรรคเล็ก ให้นำคะแนนทั้ง ส.ส.บวกกับคะแนนพรรค จากนั้นหารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คน เพื่อให้ได้ ส.ส.พึงมี โดยจะได้คะแนน 1.5แสนคะแนนต่อ ส.ส. 1 คน
พูดกันง่ายๆ สูตรของพรรคเล็กก็คือระบบจัดสรรปันส่วนผสมนั่นเอง ซึ่งใน กมธ.จำนวนมากเห็นแย้งว่าจะคำนวณตามนั้นได้อย่างไร เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 ที่กำหนด ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกจากกันอย่างชัดเจน
ที่สำคัญ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่...) พ.ศ....ที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภารับมาทั้ง 4 ฉบับ ทั้งของฝ่ายค้าน 2 ฉบับ ของคณะรัฐมนตรี และของพรรคร่วมรัฐบาล มีความชัดเจน บัญญัติไว้ในมาตรา 128 ว่าด้วยวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ “มาตรา 128 (2) ให้นำคะแนนรวมทั้งหมดที่ทุกพรรคการเมืองได้รับ หารด้วยหนึ่งร้อย ผลลัพธ์ที่ได้ให้ถือเป็นคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน”
แต่ๆๆ กมธ.ฟากฝั่ง ส.ว.ส่งเสียงว่า ต้องยึดตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด นอกจากมาตรา 91 แล้ว ในรัฐธรรมนูญยังคงมาตรา 93 และมาตรา 94
เมื่อกางมาตรา 93 อ่าน มาตราดังกล่าวระบุไว้ว่า “ในการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในบางเขต หรือบางหน่วยเลือกตั้งก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง หรือการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ หรือยังไม่มีการประกาศ ผลการเลือกตั้งครบทุกเขตเลือกตั้งไม่ว่าด้วยเหตุใด การคํานวณจํานวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคการเมืองพึงมี และจํานวนแบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละ ส.ส.พรรคการเมืองพึงได้รับ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
มาตรา 94 ภายใน 1 ปีหลังจากวันเลือกตั้งอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดขึ้นใหม่ เพราะเหตุที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้นําความในมาตรา 93 มาใช้บังคับโดยอนุโลม การเลือกตั้ง ส.ส.แทนตําแหน่งที่ว่างไม่ว่าด้วยเหตุใดภายหลังพ้นเวลา 1 ปี นับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป มิให้มีผลกระทบกับการคํานวณ ส.ส.ที่แต่ละพรรคการเมือง จะพึงมีตามมาตรา 91
พอยต์สำคัญของ 2 มาตรา คือการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อยังต้องยึดโยงการเลือกตั้ง ส.ส.เขต!!! ฉะนั้น จึงเกิดเป็นคำถามที่ยังไร้คำตอบ ว่าสรุปแล้วหารด้วยจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน หรือ หารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คนกันแน่ แล้วถ้าหาร 500 จะขัดกับมาตรา 91 หรือไม่ กลายเป็นความลักลั่นกันเองของรัฐธรรมนูญ
หลังสงกรานต์ต้องรอเซียนกฎหมายผสานเซียนคณิตศาสตร์สางปมหาทางออก ในทางตรงกันข้าม ถ้ายิ่งแก้ยิ่งยุ่งเป็นลิงแก้แหก็อาจเกิด “เดดล็อกการเมือง”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง
จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567