เปิดเหตุผลศาลเเขวงภูเก็ตยกฟ้อง 'ฝรั่ง เดวิด' ถูกกล่าวหาเตะ 'หมอปาย' ชี้ คลิปหลักฐานขัดเเย้งคำให้การ พยานไม่ยืนยันข้อเท็จจริง ผลการตรวจบาดแผลจึงมีข้อพิรุธ ยกประโยชน์เเห่งความสงสัย
4ก.ย.2567- เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลแขวงภูเก็ต ศาลนัดพิพากษาคดี พนักงานอัยการคดีศาลเเขวง เเละ แพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือหมอปาย เป็นโจทก์ เเละโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างภูเก็ต ในคดีทำร้ายร่างกาย กรณีเตะเข้าที่หลังหมอปาย พร้อมตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย ขณะนั่งที่บันไดหน้าวิลล่าหรู ชายหาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยสำนวนแรกพนักงานอัยการคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายนางสาวธาวธารดาว จันทร์ ดำ ผู้เสียหาย โดยการเตะบริเวณหลังหนึ่งครั้งเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฟกช้ำบริเวณหลังส่วนบนโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
สำนวนที่สอง นางสาวธารดาวเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ นางสาวธารดาวมีอาการทางจิตประสาทโศกเศร้าเสียใจซึ่งเป็นอาการทางจิตเวชโดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD (โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ) ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ศาลให้เรียกพนักงานอัยการคดีศาลแขวงว่า โจทก์ที่ 1 และเรียกนางสาวธารดาวว่า โจทก์ที่2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ที่ 2 ประกอบกับคลิปวิดีโอตามวัตถุพยาน ปรากฏว่ามีความแตกต่างและไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เนื่องจากตามคลิปวิดีโอปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 หันหน้ามาทางข้างขวาและเหลียวหลังมองไปทิศทางที่จำเลยกำลังเดินตรงมาที่โจทก์ที่ 2จึงเชื่อว่าหากจำเลยเตะโจทก์ที่ 2จริง
โจทก์ที่ 2และนางสาวศุกาญจน์ สุขเกื้อ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันย่อมน่าจะเห็นเหตุการณ์และยืนยันได้หนักแน่นว่าจำเลยเตะทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2โดยมีลักษณะและรายละเอียดการเตะอย่างไรกันแน่ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟในสวน จากดวงจันทร์เต็มดวงเพียงพอที่พยานโจทก์จะมองเห็นและจดจำ
เหตุการณ์ได้ แต่โจทก์ที่ 2 กลับไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงถึงการถูกทำร้ายร่างกายนั้นได้ อันเป็น
ข้อพิรุธให้น่าสงสัย นอกจากนี้ตามคลิปวิดีโอวัตถุพยานก็ไม่ปรากฎภาพเหตุการณ์ที่แสดงถึงจำเลยใช้เท้าเตะโจทก์ที่ 2 จนมีลักษณะคะมำไปด้านหน้าดังที่โจทก์ที่ 2ให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่ กลับปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 สามารถลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากที่เกิดเหตุได้อย่างปกติ อันขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ที่ 2ทั้งไม่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรูปร่างของจำเลยที่เป็นคนสูงใหญ่กว่าโจทก์ที่ 2มาก ประกอบกับโจทก์ที่ 2 กับจำเลยไม่เคยรู้จักกันหรือมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดีไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และจำเลยมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันก่อน และปกติบุคคลทั่วไปเมื่อถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันย่อมต้องสอบถามมูลเหตุที่ทำร้ายตน
แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในชั้นพิจารณา นอกจากนี้พยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนยังเบิกความอีกว่า ตำแหน่งที่โจทก์ที่ 2 นั่งบนบันได้ขั้นที่สองนับจากด้านล่าง หากจำเลยยืนอยู่บันไดขั้นบนสุดจะไม่สามารถเตะถึงโจทก์ที่ ๒ ได้ และหากจำเลยเดินลงมาอีกหนึ่งถึงสองขั้นบันไดย่อมประชิดตัวโจทก์ที่ 2 ซึ่งโจทก์ที่ 2 และนางสาวศุภกาญจน์ต้องเห็น เหตุการณ์เป็นอย่างดี อีกทั้งพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์ทั้งสองไม่มีพยานปากใดให้การยืนยันว่า
จำเลยรับต่อพยานว่าได้เตะโจทก์ที่ 2 ทั้งหลังเกิดเหตุมีการไกล่เกลี่ยในที่เกิดเหตุจำเลยก็ปฏิเสธต่อ ตำรวจของสถานีตำรวจภูธรถลางว่า ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 สำหรับรายละเอียดบาดแผล ของโจทก์ที่ 2
โจทก์ทั้งสองมีพยานปากแพทย์ออกผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเบิกความว่า พยานไม่ได้ตรวจร่างกายโจทก์ที่ 2 เพียงแต่ดูลักษณะบาดแผลจากภาพถ่ายและข้อมูลที่พยาบาลบันทึกไว้เท่านั้น โดยโจทก์ที่ 1ไม่ได้นำพยาบาลซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปบาดแผลของโจทก์ที่ 2มาเบิกความยืนยันและมิได้ส่งภาพถ่ายบาดแผลและประวัติการรักษาทางเวชระเบียนซึ่งโจทก์ที่ 2 เข้าทำการรักษาก่อนออกผลการตรวจทางนิติเวช โดยภาพถ่ายบาดแผลจำเลยเป็นฝ่ายอ้างเป็นพยาน
ดังนั้น ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลจึงยังมีข้อพิรุธให้สงสัย
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองที่นำสืบมาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ส่วนที่โจทก์ที่ 2 อ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 รับอันตรายแก่จิตใจโดยป่วยเป็นโรค PTSD เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ดังวินิจฉัยข้างต้น ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายแก่จิตใจหรือไม่ จึงย่อมไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย นอกจากนี้ที่โจทย์ที่ 2 อ้างว่าป่วยเป็นโรค PTSD จำเลยนำสืบหักล้างและมีพยานปากผู้เชี่ยวชาญซึ่งศาลหมายเรียกมาให้ความเห็นเป็นหนังสือและมาเบิกความ
ประกอบ มีความเห็นตรงกันว่า การวินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD บุคคลนั้นต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเหตุการณ์ที่โจทก์ที่ 2 ได้รับมาตามที่กล่าวอ้างนั้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว พิพากษายกฟ้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชาวบ้านหลายร้อย รวมตัวที่ 'หาดยามู' ทวงคืนที่หาดสาธารณะ
จากกรณีชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายแพทย์หญิงเป็นประเด็นในสังคม ที่ส่วนใหญ่รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงนัดรวมตัวกันที่บริเวณชายหาดยามู