พม. ยันส่งเด็ก 126 คน กลับบ้านฝั่งพม่าปลอดภัย 'ครูแดง' แนะหนุนศึกษาเป็นพลเมืองคุณภาพ

อธิบดี ดย.ยันส่งเด็กกลับบ้านฝั่งพม่าปลอดภัย เผยประสาน พม.พม่า พบเด็ก 4 คนหนีภัยการสู้รบจากพม่า ป้าวอนขอตัวเด็กมาเรียนต่อ “ครูแดง” แนะผู้ใหญ่ส่งเสริมการศึกษาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

8 ก.ค.2566 - นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน(ดย.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการผลักดันเด็กที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร์ จำนวน 126 คนจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา จ.อ่างทอง กลับประเทศต้นทาง ว่าในวันแรกได้มีผู้ปกครองมารับเด็กไปแล้ว 31 คน และวันที่สองมีผู้ปกครองมารับไปอีก 28 คน ซึ่งตอนนี้เหลือเด็กอีกราว 60 คน อย่างไรก็ตามเด็กคนไหนที่ไม่มีความพร้อมหรือพิสูจน์ไม่ได้ว่าคนที่มารับเป็นผู้ปกครองก็ยังไม่ให้ไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า พม.ได้ดูแลเด็กๆ 126 คนอย่างไรบ้าง เราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดโดยคำนึงถึงเด็ก ส่วนที่มีการหวั่นเกรงว่าการส่งเด็กกลับไปฝั่งพม่าจะไม่ปลอดภัยนั้น ทางพม.ไทยได้หารือกับ พม.พม่าตลอดเวลา ซึ่ง พม.พม่าก็ได้ช่วยสำรวจ และพื้นที่ที่ส่งเด็กกลับไปก็ไม่ใช่พื้นที่ที่มีการสู้รบ

“วันนี้อาจมีปัญหาเรื่องการตรวจสอบเอกสารในฝั่งพม่า แต่กำลังแก้ไขอยู่ เราทำหน้าที่คุ้มครองให้ความช่วยเหลือเด็กอย่างเต็มที่ แต่บางเรื่องเราตัดสินใจไม่ได้เอง แต่พอเจ้าหน้าที่ไปส่งเด็ก เด็กเขาดีใจมากที่ได้กลับบ้าน” นางอภิญญา กล่าว

ขณะที่ผู้ปกครองรายหนึ่งซึ่งมีเด็กในปกครอง 4 คนไปเรียนที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 จังหวัดอ่างทอง เปิดเผยว่า ตนเป็นป้าขอเด็กทั้ง 4 คน โดยน้องชายของตนนำมาฝากไว้ ซึ่งน้องชายเป็นชาวไทใหญ่หนีการสู้รบระหว่างทหารพม่าและกองทัพไทใหญ่ ทำให้เด็กๆประสบความลำบากจึงนำมาฝากตนซึ่งได้สามีเป็นคนไทยและทำงานอยู่ในจังหวัดเชียงราย

ผู้ปกครองรายนี้กล่าวว่า เดิมทีหลาน 3 คนได้เข้าเรียนในโรงเรียนบนดอยในจังหวัดเชียงราย แต่เพื่อนหลานได้มาชวนไปเรียนที่อ่างทอง ประกอบกับตนต้องเลี้ยงลูก 2 คน ทำให้ค่าใช้จ่ายที่จะเลี้ยงหลานไม่เพียงพอ จึงอนุญาตให้ไปเรียนที่อ่างทอง ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเห็นเด็กๆ เรียนไปได้ด้วยดี แต่กลับถูกส่งกลับมายังเชียงราย และเมื่อตนสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อให้หลานๆ ได้ออกมา แต่กลับถูกปฎิเสธโดยบอกว่าตนไม่ใช่พ่อแม่

“พ่อแม่เขาทำงานอยู่ฝั่งนู้น นานๆ พ่อของเด็กจะโทรมาหา เพราะในพื้นที่เขาไม่มีสัญญาณ ฉันอยากให้เด็กๆได้ออกมาเรียนหนังสือ ไม่อยากให้เสียเวลาอีก ถ้าเขาจะเอาฉันติดคุกฉันก็ยอม แต่ขอให้เด็กๆออกมาเถอะ ฉันชวนเจ้าหน้าที่ให้มาดูที่บ้าน อยากให้เห็นว่าเรามีหลักมีฐาน ไม่ใช่แก็งค์ต้มตุ๋น แต่เขาก็ไม่มา ฉันไม่รู้ทำอย่างไร รู้สึกเครียดมาก” ผู้ปกครองรายนี้ กล่าว

ผู้ปกครองรายนี้กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียใจที่เด็กๆ ต้องออกจากการเรียนกลางคัน เพราะพวกเขาอยากเรียนหนังสือแต่กลับไม่ได้เรียน ตอนแรกก็เบาใจที่เด็กได้ไปเรียนโรงเรียนประจำ แต่จู่กลับเกิดเรื่องเกิดราวซึ่งตนก็ไม่ทราบรายละเอียดว่าปัญหาคืออะไร และตอนนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดโทรศัพท์ของหลานเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถติดต่อโดยตรงได้จึงรู้สึกเป็นห่วงมาก

ขณะที่นางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” กรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.เชียงราย กล่าวว่าตนได้พบกับเด็กๆ และผู้ที่รับผิดชอบจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้หารือเรื่องการจำแนกเด็ก ว่าเคยอยู่และเรียนในโรงเรียนไทยมาก่อนหรือไม่ บางคนมีญาติ หรือมีแม่เป็นคนสัญชาติไทยอยู่แล้ว คิดว่าส่วนราชการไทยไม่ควรใช้ พรบ.คนเข้าเมืองเพียงอย่างเดียว ไม่ควรมองว่าเด็กเป็นผู้ที่ทำผิดกฎหมาย แต่ควรใช้ พรบ.คุ้มครองเด็ก และ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีความก้าวหน้า มีนโยบายให้เด็กทุกคนในประเทศไทยได้เรียนหนังสือ ไม่ว่าจะมีเอกสารทางทะเบียนหรือไม่ แต่ทำไมเด็ก 126 คนจึงกลายเป็นประเด็นใหญ่เรื่องการหลบหนีเข้าเมือง ขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ให้เด็กได้มีโอกาสทางการศึกษากลับถูกตั้งข้อหา

“ได้พบเด็กเมื่อวานนี้ ได้พูดคุยเป็นภาษาอาข่ากับเด็ก ทราบว่าเด็กหลายคนเคยเรียนในจังหวัดเชียงรายมาแล้ว อยากฝากผู้ใหญ่ขอความเป็นธรรมส่งเสริมการศึกษาให้เด็ก แม้เด็กบางคนข้ามมาจากพม่าเมื่อ 5-6 ปีก่อนก็น่าจะถือว่าเราช่วยกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือเด็กเหล่านี้ ให้เติบโตเป็นพลเมืองอาเซียนที่มีคุณภาพ และเด็กก็มีความผูกพันกับประเทศไทยทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ” นางเตือนใจ กล่าว

นางเตือนใจกล่าวว่า เด็กที่ถูกส่งกลับพม่าไปที่ด่านอำเภอแม่สาย (ตรงข้ามเมืองท่าขี้เหล็ก) เห็นว่าเป็นการทำงานที่รวดเร็วเกินไป เพราะจริงๆแล้วควรมีภาคประชาสังคมด้านสิทธิเด็กเป็นพยานรู้เห็นว่าเด็กได้กลับไปกับพ่อแม่จริงและมีความปลอดภัยจริง ขณะนี้เด็กกลัว ตกใจว่าทำไมเรียนหนังสืออยู่แล้วกลับถูกตั้งข้อหาหลบหนีเข้าเมือง การที่เด็กถูกผลักกลับไปสู่พม่าในขณะนี้เป็นประเด็นที่เป็นน่าห่วงมากที่สุด เพราะสถานการณ์การเมืองยังคงไม่สงบ แต่ด่วนส่งเด็กกลับ ทั้งๆ ที่เด็กไม่มีผลใดๆ ต่อความมั่นคงของไทยเลย จึงควรให้เด็กได้เรียนหนังสือก่อนในโรงเรียนที่มีความพร้อม ควรให้เด็กอยู่ในความปลอดภัย ไม่ควรส่งเด็กไปสู่อันตรายต่อชีวิต

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยายวัย 71 เปิดบ้านขายยาบ้าให้กลุ่มวัยรุ่น ได้กำไรเม็ดละ 7 บาท อ้างหาเงินรักษาตัว

นายฉัตรชัย เย็นทรวง ปลัดอำเภอ ฝ่ายความมั่นคง ที่ทำการปกครองอำเภอป่าโมก ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าโมก เจ้าหน้าที่ อส. เข้าตรวจค้นปิดล้อม บ้านเป้าหมายในพื้นที่ ม 4 ตำบลเอกราชอ.ป่าโมก จ.อ่างทอง พบสภาพเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น จากการตรวจค้นสามารถจับกุม นาง ทอง (นามสมมติ) อายุ 71 ปี

ชาวอ่างทอง สืบสานงานบุญโขลกแป้งขนมจีน ประเพณีเก่าแก่ 80 ปี

งานบุญขนมจีน สืบสารประเพณีโขลกแป้งขนมจีน ร่วมงานบุญใหญ่ อำเภอโพธิ์ทอง ที่สืบสานมานานกว่า 80 ปี  ที่วัดสว่างอารมณ์  ต.สามง่าม ระหว่าง วันที่ 11 – 13 ตุลาคม

ชาวอ่างทองเฮ! เงินหมื่นเข้าบัญชีแล้ว

ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฮดีใจ เงินหมื่นเข้าบัญชีแล้ว เผยจะนำไปใช้หนี ค่าน้ำค่าไฟ ที่เหลือเก็บไว้ใช้เป็นทุน ด้านคนที่ยังไม่ได้เงิน เผยชื่อตกหล่นสุดเศร้า เดินทางติดต่อธนาคารเพื่อถามเเรื่องขอสิทธิ

'อดีตสว.' แฉขบวนการขายสัญชาติให้ชาวเมียนมา จี้เร่งแก้ก่อนเสียกรุงครั้งที่3

นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุก ระบุว่า ขบวนการขายชาติ เร่งแก้ก่อนเสียกรุงครั้งที่3

เปิดตัวอุทยานประวัติศาสตร์แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง อนุสรณ์แห่งความจงรักภักดี

ที่วัดช้าง(ช้างให้) ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง เป็นเจดีย์รูปทรงกลม (ระฆังคว่ำ) สมัยอยุธยาตอนปลาย บรรจุอัฐิพระราชมนูทหารเอกคู่ใจสมเด็จพระนเรศวรฯ พร้อมด้วยเจดีย์บรรจุอัฐิภรรยาพระราชมนู

เปิดใจว่าที่ สว.กลุ่มสื่อมวลชน เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า พูดเสียงตามสายหมู่บ้านนานกว่า 10 ปี

นางสาวคอดิยะฮ์ ทรงงาม อายุ 64 ปี ว่าที่ สว.กลุ่ม 18 สื่อสารมวลชน อาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า เผยทำประชาสัมพันธ์มานานกว่า 10 ปี เป็นอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านมีหมวกหลายใบ