'บิ๊กโจ๊ก' ขู่ปิดโรงแรมรีสอร์ทกว่า 100 แห่งไร้ใบอนุญาต แจ้งจับแล้ว 5 จุดรุกล้ำ

แจ้งความดำเนินคดีบุกรุกที่ดินโรงเรียนเกาะหลีเป๊ะ 5 จุด “บิ๊กโจ๊ก” นำบิ๊กราชการลงพื้นที่-ขู่ปิดโรงแรม-รีสอร์ทกว่า 100 แห่งที่ไม่มีใบอนุญาต เตรียมตรวจ น.ส.3 ยกเกาะ

30 ม.ค.2566 - พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ พร้อมด้วยข้าราชการระดับบริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมอุทยานฯ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล โดยเมื่อเดินทางไปถึงทั้งหมดได้หารือร่วมกัน โดยมีข้าราชการส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเข้าร่วมด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์ว่า ในส่วนของที่ดินกว่า 60 ไร่ที่ออกเกินจาก น.ส.3 จำนวน 80 ไร่ ตรวจพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา 8 จุด ซึ่งได้เรียกตัวบุคคลที่เป็นเจ้าสถานประกอบการมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการบังคับคดี 44 คดี โดยมี 22 คดีที่ศาลฏีกาได้พิพากษาแล้ว และ 8 คดีที่เจ้าตัวยังไม่เพิกถอนและยื่นอุทธรณ์ อย่างไรก็ตามได้อาศัยอำนาจกรมอุทยานฯ แจ้งให้เขาออกจากพื้นที่ภายใน 15 วันถ้าไม่ออกเราก็จะช่วยเพิกถอน ซึ่งผู้ที่บุกรุกทั้งหมดต้องถูกดำเนินคดีอาญา

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ขณะนี้แผนที่ที่หลายหน่วยงานร่วมกันพิจารณาได้ทำเรียบร้อยแล้วโดยส่งให้กรมที่ดินประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการตั้งคณะกรรมการดำเนินการเพิกถอนที่ดินส่วนที่งอก ส่วนที่เป็นข้อพิพาทเรื่องการสร้างประตูกั้นและรั้วของโรงเรียนอยู่ในความรับผิดชอบของกรมธนารักษ์ซึ่งได้ยอมรับมีการบุกรุกที่ดินของโรงเรียนหรือของรัฐ

“ปัญหานี้สะสมมา 30-40 ปี แต่คณะทำงานชุดนี้ทำให้เห็นภายใน 2 สัปดาห์ เราศึกษาตั้งแต่ 2497 เป็นต้นมา ตอนนั้นชาวบ้านไม่ได้ขอเอกสาร จนมีคนอื่นบุกรุก สร้างสิ่งปิดกั้นจนไม่สามารถออกทะเลได้ ชาวบ้านต้องรื้อกระท่อมที่ดูแลเรือออก ตอนนี้ทุกกรมต้องการให้สิทธิคืนผู้ที่มีสิทธิ ขณะเดียวกันมีโรงแรมกว่า 100 แห่ง ที่ไม่มีใบอนุญาตก็ต้องรื้อถอนทั้งหมด ส่วนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่ถูกรื้อถอน ก็ต้องไปตรวจดูว่ามีการออกเอกสารสิทธิชอบหรือไม่ ใครเป็นคนออกเอกสาร ซึ่งตำรวจก็ต้องไปดู หรือเรื่องลำรางสาธารณะซึ่งพบว่ามี 3 จุด เราก็จะได้รื้อถอนเพื่อให้มีเส้นทางระบายน้ำจากเกาะ ส่วนท้องถิ่นไม่ว่านายอำเภอ ปลัดอำเภอ ท่านต้องทำหน้าที่หรือไม่ การที่มีโรงแรมนับร้อยแห่งไม่มีใบอนุญาต หรือการปล่อยให้ลำรางสาธารณะถูกถม พนักงานสอบสวนก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ใครมีหน้าที่แล้วไม่ทำก็ถือว่าละเว้น” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ในระหว่างการหารือ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ได้รายงานที่ประชุมว่า จากการใช้เครื่องมือทันสมัยตรวจสอบพบว่ามีอยู่ 5 จุดที่รุกล้ำพื้นที่โรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งมีทั้งรีสอร์ท ร้านค้าและเอกชน ซึ่งได้ดำเนินการโดยแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกแล้ว ขณะที่นายณฐพร โตประยูร ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าเราต้องการให้เกาะหลีเป๊ะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ดังนั้นลำรางสาธารณะ ต้องช่วยกันรื้อฟื้น ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยกับอุทยานฯ ทำงานร่วมกัน ดำเนินการแนวใหม่โดยเอาข้อมูลมาบูรณาการกัน อันไหนเป็นความผิดอาญาตำรวจก็ดำเนินคดีไป โดยต้องมีการตรวจสอบว่าก่อนเป็นเอกสาร น.ส.3 มีที่มาอย่างไรและถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ โดยต้องดำเนินการผู้ที่เกี่ยวข้องกับทุกแปลงโดยเฉพาะลำรางสาธารณะและโรงเรียน

“อะไรผิดก็ว่ากันไปตามผิด อยากให้ฝ่ายปกครองช่วยกันดู หากปฎิบัติตามกฎหมาย เอาระเบียบมากางก็ไม่มีปัญหา อันไหนผิดชัดแจ้งก็ต้องดำเนินการ อยากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ต้องรีบให้กรมที่ดินมาสอบว่าที่ดินแปลงที่ 11 นั้นออกเอกสารชอบหรือไม่ มี ส.ค.1 บินหรือไม่ ถ้าทำเร็วเด็กๆจะเข้ามาเรียนโรงเรียนได้สะดวก”นายณฐพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ตั้งคำถามกับปลัดอำเภอเมืองสตูล ว่าเหตุใดถึงไม่จัดการและปล่อยให้โรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตจำนวนมาก และขอให้รีบแก้ไข ซึ่งปลัดพยายามชี้แจงว่าดำเนินการไปแล้ว 11 แห่ง แต่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์แย้งว่า โรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตมีกว่า 100 แห่งซึ่งไม่เสียภาษี ได้ดำเนินการหรือไม่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวในที่ประชุมด้วยว่า ขณะนี้เราเริ่มดำเนินการต่างๆ แล้ว แต่พอเรากลับไป เรื่องโรงเรียนทั้งรั้วและที่กั้นประตู หากไม่มีการรื้อถอน ชาวบ้านจะมองว่า ลงกันมาคณะใหญ่แต่ไม่ดำเนินการอะไร จึงคิดว่าตรงนี้ต้องรื้อถอนก่อน

“วันนี้ทั้งผม อัยการ ตำรวจ เดินในแนวเดียวกัน เรื่องนี้ทำไม่ยาก สิ่งที่ปกป้องเราคือเอกสารรัฐ ไม่มีใครสู้เอกสารรัฐได้ ที่ผมลงมาทำนี้ขอให้มั่นใจเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ผมต้องประคองคดีให้จบ เวลาตำรวจสั่งฟ้อง อัยการสั่งฟ้องก็ตรงกันแล้ว ทุกคนเดินตามเอกสารรัฐ ที่ผ่านมาปัญหาสะสมยาวนานเพราะหน่วยงานราชการไม่มีการบูรการกัน ผมอยากให้รื้อประตูกั้นทางเข้าโรงเรียนออกก่อนเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลง หากเรากลับไปแต่ไม่มีความคืบหน้า เดี๋ยวชาวบ้านก็ยกกันไปทำเนียบอีก แต่ถ้ารื้อก็เห็นความก้าวหน้า” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวในที่ประชุม และว่าสำหรับเรื่องลำรางสาธารณะซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะไม่เช่นนั้นน้ำก็ท่วมอีก จึงขอนัดประชุมวงเล็กที่ กทม.

ทั้งนี้ภายหลังการประชุมทั้งหมดได้เดินทางไปปิดป้ายคำสั่งศาลฏีกาที่ให้ผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ในที่ดินที่ศาลมีคำพิพากษาสิ้นสุดแล้ว โดยระหว่างเดินออกจากห้องประชุม ชาวเลอูรักลาโว้ย ได้พากันมายืนถือป้ายเพื่อให้กำลังใจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป.ป.ง. แจ้งความเอาผิด 'โจ๊ก' พร้อมภรรยา ใช้บัญชีม้าเว็บพนันจ่ายเบี้ยประกันชีวิต

พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. เปิดเผยว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้มีการตรวจสอบพบว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)

ศาลปกครองสูงสุด ออกแถลงการณ์ยกคำร้อง 'บิ๊กโจ๊ก' ปิดฉากคัมแบ็กตำรวจ

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ระหว่าง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ฟ้องคดี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ 1 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ที่ 2

มาแล้ว! ศาลปกครอง ร่อนเอกสารชี้แจงปม 'บิ๊กโจ๊ก' ยังไม่มีคำพิพากษาใดๆ

ศาลปกครอง เผยแพร่เอกสารชี้แจง กรณีที่มีสื่อมวลชนนำเสนอผลการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน นั้น

ลุ้นองค์คณะฯอ่านคำพิพากษา ดับฝัน 'โจ๊ก-แมว9ชีวิต' กลับตร.

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา "บิ๊กโจ๊ก" - พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อตรวจสอบความชอบธรรมของคำสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งคดีนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางปกครองในระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ตร. ไม่ขอก้าวล่วง ศาลปกครองสูงสุด ชี้ขาด 'บิ๊กโจ๊ก' ขอคุ้มครองชั่วคราว

พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองยกคำร้องคุ้มครองชั่วคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ว่า ตนขอให้ความเห็นแบบกว้าง ๆ