ฟื้นชีวิตป่าตบหน้ารัฐ! ชาวบ้านดงมะไฟ ขยับต่อรื้อกม.สัมปทานเหมืองหิน ป้อนนายทุน

ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ – ผาจันได ร่วมมือฟื้นชีวิตป่าฮวกต่อเนื่องเข้าปีที่ 2 หลังปิดเหมืองหินสำเร็จ พร้อมทำงานต่อสานขบวนการภาคประชาชนร่วมขบวนประชาธิปไตย หวังเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองสู่การมีส่วนร่วม รื้อกฎหมายสัมปทานเหมืองหินทั่วประเทศ

14 ส.ค.2565 – ที่หมู่บ้านผาฮวกพัฒนาชาวประชาสามัคคี ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู กลุ่มประชาชนในนาม กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได จัดเสวนา “2 ปี ปิดเหมืองหินดงมะไฟ เรามาไกลแค่ไหนกับขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน”  โดยมีตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆ เข้าร่วมกว่า 15 องค์กร

นายไชยศรี สุพรรณิการ์ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ กล่าวว่า วันนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้วเราได้เดินทางไปยัง จ.หนองบัวลำภู เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับทางจังหวัดให้ยกเลิกพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ทำเหมืองเพราะว่าเราพบว่าเขาทำผิดกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งอยู่นอกเขตประทานบัตร เป็นพื้นที่แหล่งน้ำซับซึม และแหล่งโบราณวัตถุ  โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ปิดเหมืองหินและโรงโม่ 2.ฟื้นฟูภูผาป่าไม้ 3.พัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยว  แต่ทางจังหวัดไม่ได้สนใจใยดีต่อข้อเรียกร้องของเรา จนเรามานอนกลางดินกินกลางทรายที่นี่ ช่วงแรกก็มีครูมาสอนเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อม วิชาความปลอดภัยทำให้ชาวบ้านมีความรู้ที่จะพูดคุยกับภาครัฐและคนข้างนอกได้รับรู้

“เมื่อ 2 ก.ย.63 เราได้เสียน้ำตาแห่งความดีใจเมื่อรถโม่หินทั้ง 4 คันได้ถอยออกไป  และใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าได้หมดลง ทำให้เราได้เข้าไปเหยียบพื้นที่ป่าที่ไม่เคยได้เข้าไปเหยียบมา กว่า 30 ปี และคิดว่าจะฟื้นฟูภูเขาลูกนี้ให้เป็นของเราและต้องเป็นของเราไม่ใช่ของนายทุนคนใจบาปต่อไป ส่วนเราจะมีข้อเสนออะไรต่อรัฐบาลต่อไปนั้น  เราไม่ให้ความสำคัญกับรัฐบาลชุดนี้ และไม่ขอความช่วยเหลือจากเขา เราปิดเหมืองเอง ฟื้นฟูพัฒนาเอง และหวังว่ารัฐบาลชุดหน้าจะมีตัวแทนของเราเข้าไปยกเลิกเหมืองหิน แหล่งหิน และพัฒนาฟื้นฟูทุกพื้นที่เครือข่ายของเราด้วย” นายไชยศรี กล่าว

ด้านนางบัวลอง นาทา กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได กล่าวว่า ชัยชนะในสิทธิของเรา ผู้หญิงมีสิทธิปกป้องบ้านเมือง เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้วยสองแขนสิบมือของชาวบ้าน ดีใจที่พี่น้องไม่เคยทอดทิ้งกัน เราสู้ด้วยสิทธิของชาวบ้านเรามีสิทธิอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย พัฒนาพื้นที่ตรงนี้เพื่อลูกหลานของเราในอนาคต ซึ่งมีความภูมิใจที่เราเป็นผู้หญิงเราก็สามารถสู้ได้

” ทั้งนี้ในความคิดของเราจะต้องขับเคลื่อนเรื่องเอาเหมืองแร่ออกจากประเทศไทยให้ได้ อยากให้แก้กฎหมายให้ประชาชนมีสิทธิร่วมต่อสู้ คัดค้านหรือปรึกษาหารือกันร่วมกันได้ ไม่ใช่ตั้งกฎเกณฑ์ห้ามชุมนุม อยากให้ยกเลิกกรอบเหล่านี้  โดยเราต้องร่วมมือร่วมใจในเครือข่ายเหมืองแร่ไม่ทิ้งกันเพื่อให้เกิดพลังทั่วประเทศและเกิดการต่อรองกับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ทำอะไรไม่เป็น เพราะเขาเป็นทหาร เขาไม่รู้ว่าสิ่งแวดล้อมทุ่งนาป่าไม้เราเป็นอย่างไร เขารักษาเป็นแต่ปืนของตัวเองเท่านั้น ” นางบัวลอง ระบุ

ด้านนางสมัย พันธโคตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย จ.มุกดาหาร กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ของเรากำลังอยู่ระหว่างการขอใบประทานบัตร เราต่อสู้มาตั้งแต่ปี 59 โดยชื่อกลุ่มมาจากบริเวณทำเหมืองหินซึ่งเป็นแหล่งน้ำซับซึมที่ชาวบ้านใช้มาตลอด นอกจากประเด็นเหมืองแล้วยังมีเรื่องทวงคืนผืนป่าเข้ามาซ้ำเติมชาวบ้านอยู่ดีๆ ก็ถูกไล่ที่ถูกตัดอ้อย ตัดมันทิ้ง แล้วเอาป่ามาปลูกทับ ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้สินและเดือดร้อน

“นายทุนทำเหมืองได้แต่ไม่ยอมให้พวกเราทำสวนทำไร่ แล้วเอาคดีมายัดใส่เรา แต่เราก็ต่อสู้จนป่าไม้ยอมคืนที่ดินให้และยืนยันว่าจะเข้าทำกินในที่เดิมภายในปีนี้  เราจะสร้างกลุ่มของพวกให้เข้มแข็ง จะไม่ยอมและอ่อนข้อให้พวกเขาอีก ที่ไหนมีเครือข่ายเราจะไปจะไปร่วมต่อสู้ด้วยและไม่ยอมให้มีการประทานบัตรเกิดขึ้น รวมทั้งจะเดินหน้าต่อสู้ในเรื่องประเด็นทวงคืนผืนป่าด้วย” นางสมัย ระบุ

ขณะที่ นางสมปอง เวียงจันทร์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูล ระบุว่า พี่น้องดงมะไฟไม่มีผลประโยชน์เหมือนปากมูล ที่ต่อสู้แล้วได้ค่าชดเชย แต่เป็นการต่อสู้เพื่อชุมชน ซึ่งเป็นบทเรียนให้พื้นที่อื่นสร้างความเข้มแข็งต่อไปในอนาคต  ทั้งนี้เรากำลังรณรงค์ในเรื่องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญใหม่ เรากำลังเสนอกับนักการเมือง พรรคการเมือง หรือ ส.ส.ในอนาคต ว่ารัฐธรรมนูญใหม่ต้องแก้ทั้งหมด เพราะเห็นปัญหาแล้วว่าส่งผลกระทบต่อชุมชุน มาตราที่เราเคยได้รับตั้งแต่ปี 40 ก็ล้มหมด ดังนั้นต้องล้ม รัฐธรรมนูญ 60 ทั้งกระดาน

“นอกจากนั้นในรัฐธรรมนูยต้องระบุว่าในระบบรัฐสวัสดิการต้องมีค่าตอบแทนแม่และคนทำงานผู้ดูแล เพราะผู้หญิงและคนทำงานดูแลต้องดูแลทั้งคนในครอบครัวหรือนักต่อสู้ทั้งหลาย เหมือนในบางประเทศที่รัฐบาลดูแลอย่างดี ดังนั้นงบประมาณที่จะนำไปซื้อเรือดำน้ำ หรืองบประมาณทหาร ก็ตัดมาดูแลช่วยเหลือพวกเราดีกว่า ควรผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ ทั้งรัฐธรรมนูญใหม่และกองทุนฯ ซึ่งอาจจะประมาณ 5,000 หรือ 3,000 ต่อคนก็ ก็ไปพูดคุยกันต่อไป ซึ่งถ้าไม่ทำรัฐธรรมนูญใหม่เราก็ไม่เลือก” นางสมปอง ระบุ

ด้าน น.ส.แววรินทร์ บัวเงิน ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มรักษ์บ้านแหง จ.ลำปาง กล่าวว่า เราใช้ดงมะไฟเป็นต้นแบบในการต่อสู้ของเรา แต่การต่อสู้ของเราต้องไม่มีคนเสียชีวิต  ซึ่งเราต่อสู้จนได้ชัยชนะ  เขาใช้คดีบังคับเรา เราก็ต้องทำตามกฎหมาย ทำกฎหมู่ให้เป็นกฎหมาย เขาได้ใบประทานบัตร แต่ไม่สามารถทำเหมืองได้ เพราะเราชนะคดีป่าไม้ เราสามารถทวงคืนป่าไม้ได้ เราไปกรมแผนที่ทหารบอกว่าตั้งหมู่บ้านก่อนที่จะมีการประกาศพื้นที่ป่าและชนะคดีนี้ทำให้การประทานบัตรล้มเป็นโดมิโน

“เราไม่รู้ว่าจะต่อสู้ไปถึงเมื่อไรและเหมืองจะเกิดขึ้นหรือไม่ ตอนนี้เราต้องบอกชนะทุกวันเพราะยังไม่มีเหมือง และขอขอบคุณทุกเครือข่ายที่เป็นต้นแบบในการต่อสู้ของเรา  ทั้งนี้เราไม่หวังพึ่งนักการเมือง เราทำเอง  เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีก เราสามารถยึดท้องถิ่นได้ เข้าไปนั่งในสภาท้องถิ่นเองทำให้เราสามารถพลิกมติ อบต. ได้  เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของพื้นที่ อย่าคิดว่าต้องไปขอคนอื่นตลอดเวลา การเมืองก็เช่นกันจากจุดเล็กๆ ของเราในพื้นที่วันหนึ่งเราจะไปนั่งในสภา ไม่ใช่สภา อบต. แต่เป็นรัฐสภา เพราะไม่มีใครเล่าเรื่ององเราได้ดีเท่าเราเอง  หวังว่าวันหนึ่ง จ.ลำปางจะมี ส.ส.จากกลุ่มรักษ์บ้านแหงเข้าไปนั่งในสภา ทั้งนี้หาก อยากได้พื้นที่ป่าร้อยละ 80 จากลำปาง กรุงเทพต้องคืนมาร้อยละ 50  และเราจะเดินลงถนนเพื่อกำหนดกฎหมายต่อไป ” น.ส.แววรินทร์ ระบุ

ด้านนายเอกชัย อิสระทะ สมาคมพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา กล่าวว่า เขาคูหาเป็นเขาลูกโดดแบบที่นี่ เราถูกขีดวงจากหน่วยงานภาครัฐโดยประกาศพื้นที่แหล่งหิน โดยไม่มีประชาชนและชาวบ้านรับรู้เรื่องนี้ เขาประกาศเมื่อปี พ.ศ. 2539 เรื่องแรกที่ตนเองคิดว่าประชาชนได้บทเรียนและได้รับชัยชนะคือเราสามารถขุดเอาความจริงที่เป็นข้อมูลออกมาให้สังคมได้รับรู้และสู้กับขบวนการที่ฉ้อฉลของรัฐ ในเรื่องการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่เราพบความฉ้อฉลมีการใช้เอกสารเท็จในการศึกษาผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ว่าอีไอเอซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐในการกำกับดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นกระบวนการที่ใช้ไม่ได้และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไร ทั้งนี้เรื่องการจัดการเหมืองแร่มีฐานความรู้และข้อมูลของคนที่ก้าวมาก่อนเรา มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์และมีกระบวนการขั้นตอนที่จะเป็นบทเรียนให้คนรุ่นใหม่นำไปใช้ต่อไป ซึ่งในพื้นที่ภาคใต้เขาคูหาขอเป็นฐานหนึ่งของเหมืองหินและเราจะยืนเป็นพื้นให้เพื่อนๆ ที่มีปัญหาเดียวกันในการปกป้องพื้นที่ต่อไป

“ในอนาคตคิดว่ามีเรื่องที่ต้องทำใน 3 ระดับ คือ  1. การต่อสู้ 13 ปีของพวกเรา แค่ชะลอขอประทานบัตร แต่ในทางกฎหมายเรื่องการประทานบัตรและขอประกาศแหล่งหินยังอยู่ซึ่งต้องหยุดให้ได้ 2.ต้องคิดต่อว่าจะพัฒนาเรื่องแหล่งทองเที่ยวอย่างไร ทั้งนี้ในเรื่องแผนแม่บทการจัดการแร่ไม่ได้ถูกทำให้เป็นแผนแม่บทอย่างแท้จริง เวลานี้กำลังจะเข้าสู่แผนฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ไม่ได้ไปสู่ปฏิรูปให้พวกเรามีส่วนร่วมได้จริง ดังนั้นจะแก้ไขหรือยกเลิกแผนนี้อย่างไรซึ่งเราจะมีการประชุมกันในเดือนนี้ และ 3. เห็นด้วยว่ารัฐธรรมนูญต้องเขียนใหม่ทั้งฉบับเป็นภารกิจของประชาชนทั้งประเทศ” นายเอกชัย ระบุ.

  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ก.อุตฯ ลุยเสริมทักษะเอสเอ็มอีกว่า 200 ราย

'ศศิกานต์' เผย ก.อุตฯ เดินหน้าส่งเสริมเอสเอ็มอีกว่า 200 ราย เสริมทักษะ เพิ่มขีดการแข่งขัน เน้นดิจิทัลและความยั่งยืน คาดดันเศรษฐกิจโตกว่า 62 ล้านบาท