ผุดระบบ 'รับแจ้งความออนไลน์' สกัดถ่ายโอนเงินระหว่างบัญชีม้า

สมาคมแบงก์รัฐ-สมาคมธนาคารไทย จับมือตำรวจ ผุดโครงการระบบรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สกัดการถ่ายโอนเงินระหว่างบัญชีม้าได้เร็วขึ้น หวังช่วยแก้ปัญหาประชาชนที่เดือดร้อนจากแก๊งมิจฉาชีพ

1 มี.ค. 2565 – นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) กล่าวภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารพาณิชย์ และ ธนาคารของรัฐ ในการดำเนินโครงการระบบรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประสานการปฏิบัติงานระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ธนาคารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และสอดคล้องกับรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การลงนามในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับสถาบันการเงิน ในการช่วยกันป้องกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงมีส่วนร่วมในการยับยั้งการกระทำความผิดของอาชญากร และสนับสนุน ติดตาม ตรวจสอบเครือข่ายของผู้กระทำความผิดที่อาศัยธนาคารเป็นเครื่องมือในการโอนเงินผ่านระบบบัญชีของธนาคาร เพื่อให้เกิดผลในการจับกุมผู้กระทำความผิดต่อไป

ขณะเดียวกันสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิกทุกแห่ง ยังพร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความรู้ ความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนได้รู้เท่าทันป้องกันการถูกหลอกลวงจากอาชญากร เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่สัมฤทธิ์ผลมากขึ้นด้วย

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ ได้นำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการระหว่างประชาชน ตำรวจและภาคธนาคาร ผ่านโครงการระบบรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการสอบสวนดำเนินคดี ลดข้อจำกัดของประชาชนผู้เสียหายไม่ต้องเดินทางไปแจ้งความด้วยตนเองที่สถานีตำรวจท้องที่ ในช่วงที่มีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยสกัดการถ่ายโอนเงินระหว่างบัญชีม้าได้เร็วขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการติดตามธุรกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการคดี สามารถติดตามและวิเคราะห์รูปแบบการกระทำผิดของมิจฉาชีพได้ครอบคลุมมากขึ้น

“ปัจจุบันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกัน โดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับมิจฉาชีพ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและลูกค้าธนาคารเป็นวงกว้างและทวีความรุนแรง ซึ่งทุกภาคส่วน รวมทั้งประชาชนทุกคนต้องเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางเทคโนโลยีหรือความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” นายผยง กล่าว

อย่างไรก็ดี สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกทุกแห่งพร้อมให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อวางระบบป้องกัน เตือนภัย ติดตาม และสื่อสารแจ้งเตือนเชิงรุกแก่ลูกค้าธนาคาร ตลอดจนยกระดับระบบป้องปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและภัยคุกคามจากการทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และในอนาคตจะมีการต่อยอดให้ครอบคลุมคดีอาชญากรรมประเภทอื่น ๆ เพื่อลดปริมาณคดีอาชญากรรมต่าง ๆ และเพิ่มความปลอดภัยทางการเงินให้ลูกค้าของธนาคาร เพื่อรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศต่อไป ส่วนช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์ คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คือ www.THAIPOLICEONLINE.com หรือที่ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับบัญชีม้า ลวงอดีตผู้ว่ารัฐวิสาหกิจลงทุนเทรดเหรียญคริปโต สูญกว่า 20 ล้านบาท

พ.ต.อ.พิเชียรยศ อรุณพันธกุล ผกก.กก.1 บก.สอท.1 ส่งกำลังชุดสืบสวน นำโดย พ.ต.ท.กฤชณัท เหล่ากอ รอง ผกก.กก.1 บก.สอท.1 เข้าร่วมจับกุมตัว นางสาวกัญญาณัฐ ทองจำรัส อายุ 23 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและร่วมกันโดย

'ตร.ไซเบอร์' รวบหัวโจกแก๊งหลอกขาย 'ควายงาม' ซื้อยาบ้าแจกบัญชีม้าเสพให้อยู่ในการควบคุม

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. สั่งการให้ พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ร่วมกันจับกุมนายวัลลภ หรือ นัด อายุ 32 ปี ,นายวทัญญู อายุ 34 ปี ชาวอุดรธานี

นายกฯ สั่งปราบมิจฉาชีพออนไลน์ ปิดบัญชีม้าแล้ว 7 แสนบัญชี อายัดเงินเกือบ 1 พันล้าน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยความมุ่งมั่นใส่ใจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้รัฐบาล ปิดบัญชีม้าแล้วกว่า 7 แสนบัญชี อายัดเงินเกือบ 1 พันล้าน และอยู่ระหว่าง ตรวจสอบ เพื่อคืนเงินผู้เสียหายต่อไป