ศาลรับฝากขัง พี่สาวเมียทนายตั้ม สมคบฟอกเงินฉ้อโกงเจ๊อ้อย 39 ล้านบาท กองปราบยก 5 ข้อ ค้านประกันยาวพรืด ผู้เสียหายก็ค้านหวั่นปล่อยไปไม่ได้เงินคืน
27 พ.ย.2567 - ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัว นางสาวปิณฑิรา หรือดาวการวัลย์ อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ ในความผิดฐาน "ร่วมกันกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน" มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน
พฤติการณ์แห่งคดีคือ ก่อนเกิดเหตุ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้าง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมานายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายษิทรา หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน ดังนี้
1.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ แต่อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมและระบก่อน เป็นเงินจำนวนระหว่าง 2 ล้านยูโร พร้อมกับได้นำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของนายษัทรา จำนวน 71,067,764 บาท
2.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายได้มอบหมายให้นายษิทราหาชื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่นจี 400 จากนั้นนายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ยี่ห้อและรุ่นดังกล่าวได้แล้วจากบริษัท 999อิมพอร์ต จำกัด ในราคา 12,900,000บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์ จำนวน 30,000บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว รถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ผู้เสียหายหลงเชื่อได้ได้โอนเงินชำระค่ารถยนต์คันดังกล่าว ไปเข้าบัญชีเงินธนาคารของนายษิทรา ทำให้นายษิทรา ได้ไปซึ่งเงินค่าส่วนต่างราคารถยนต์ และค่าฟิล์มรถยนต์ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
3.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นายษิทรา ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท ปีเตอร์ คอนสตรัคชั้น 1987 จำกัด เป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ดิแองเจิ้ล ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยนายษิทราอ้างว่ามีค่าจ้างเขียนแบบโรงแรม เป็นเงินจำนวน 9 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วนายษิทราได้ไปว่าจ้างบริษัท กริต อาร์คิเทคท์ จำกัด ให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้กับผู้เสียหายแล้ว ในราคา 3 ล้าน 5 เเสนบาท
ผู้เสียหายหลงเชื่อได้โอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าว จำนวน 9 ล้านบาท ไปเข้าบัญชีธนาคารของนางพจมาน บัวลาส กรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัท ปีเตอร์ฯ จากนั้นได้ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้กับนายษิทราทำให้นายษิทรา ได้ไปซึ่งเงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 5 ล้าน 5 เเสนบาท
4.ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ และนางสาวสารินี นุชนารถ ได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านายนุวัฒน์ มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลนิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์ โอนสกุลเงินดิจิทัล บิทคอยน์ให้กับผู้ใช้อินสตาร์แกรมชื่อบัญชี เฉินคุน จากนั้นได้หลอกลวงผู้เสียหายว่านายนุวัฒน์ ได้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของนางสาวสารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้วทำให้กระเงินดิจิทัลของนางสาวสารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน จำนวน 39 ล้านบาทบาท
โดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชั่นไลน์ด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของนางสาวสารินี ถูกระงับจริง ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป้าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และนางสาวสารินีไม่ได้ถูกระงับการใช้งานแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เซ็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาขน) สาขาโลตัสปากช่อง สั่งจ่ายเงิน จำนวน 39ล้านบาท ให้กับนางสาวสารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับนางสาวสารินี ได้ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของนางสาวสารินี จากนั้นนายษิทรานายนุวัฒน์ และนางสาวสารินี ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินสด จำนวน 39 ล้านบาทดังกล่าว ออกจากบัญชีธนาคารของนางสาวสารินี
พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรากับพวก ถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ตามพรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม ได้ทำการสืบสวนพบว่านายษิทรา กับพวก ได้มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ดังต่อไปนี้
1.กรณีที่นางสาวจตุพร ได้โอนเงินจำนวน 9 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าว่าจ้างออกแบบการก่อสร้างโรงแรม ไปเข้าบัญชีธนาควรกรุงศรือยุธยา จำกัด (มหาชน) ของนางพจมาน บัวลาศ ตามที่นายษิทรา หลอกลวงดังกล่าว
จากการสืบสวนพบว่าต่อมานางพจมาน และนายเขมวัฒน์ ได้เบิกถอนเงินสดจำนวนดังกล่าวนำไปมอบให้กับนายษิทรา ตามคำสั่งของนายษิทรา แล้วนายษิทรา ได้แบ่งเงินสดดังกล่าวใส่ของกระดาษ แล้วนำไปมอบให้กับนางสาวปิณฑิรา การวัลย์ ผู้ต้องหา แล้วผู้ต้องหาได้นำเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ที่ได้รับมาดังกล่าว ไปทำธุรกรรมฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ศาลายาของผู้ต้องหา
2.กรณีที่นางสาวจตุพรได้ซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา สั่งจ่ายเงินจำนวน 39ล้านบาท ให้กับนางสาวสารินี ตามที่ได้ถูกนายษิทรา นายนุวัฒน์ ยงยุทธ และนางสาวสารินี ร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดีจิตอลถูกระงับ แล้วนายนุวัฒน์ กับนางสาวสารินี ได้นำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของนางสาวสารินี นั้น
จากการสืบสวนพบว่าต่อมานายษิทรา ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา นำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ และนางสาวสารินี ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เพื่อไปรับเงินสดจำนวนดังกล่าว แล้วผู้ต้องหา ได้แจ้งให้คนขับรถของนายษิทราขับรถยนต์พาผู้ต้องหา พร้อมกับกระเป๋าเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เมื่อไปถึงผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถนำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ ภายในธนาคารกรุงครือยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว
ส่วนผู้ต้องหา ยืนรออยู่บริเวณหน้าธนาคารดังกล่าว โดยนายนุวัฒน์ และนางสาวสารินี ได้เบิกถอนเงินสดจำนวน 39 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ของนางสาวสารินี แล้วมอบเงินสด จำนวน 20มัด คิดเป็นเงินรวม 20 ล้านบาท ให้กับคนขับรถเพื่อบรรจุใส่ในกระเป๋าเดินทางดังกล่าว จากนั้นผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถขับรถยนต์พาผู้ต้องหาพร้อมกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเงินจำนวนดังกล่าวกลับบ้านพักที่ผู้ต้องหา และนายษิทราพักอาศัยอยู่ด้วยกัน แล้วนำกระเป๋าเดินทางดังกล่าวไปเก็บไว้ภายในบ้านพักบริเวณหน้าบันไดชั้นที่ 2ของบ้าน
พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรา, นายนุวัฒน์, นางสาวสารินี และผู้ต้องหาดังกล่าว จึงเป็นการโอนรับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นเพื่อปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการ กระทำความผิดด้วย
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางลงวันที่ 30 ต.ค.2567ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนานาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับ นางสาวปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 26 พ.ย.2567 โดยกล่าวหาผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐามผิดฐาน"ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พ.ย. เวลา 16.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจ ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายดังกล่าวได้ที่บริเวณชั้น 9 ของห้างสรรพสินค้าสยามสเคป ถนนพญาโท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3กองบังคับการปราบปราบปรามดำเนินคดีตามกฎหมาย
การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน "ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"อันเป็นความผิดตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯมาตรา 3(18), มาตรา5 , 9 วรรคสอง และมาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่ง พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับ4) พ.ศ.2556ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา83
พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้ว หากแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานอีก 10ปาก พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม/ตรวจค้นรอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา
ในกรณีผู้ต้องหา ขอให้ปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน 1.เนื่องจากคดีที่ผู้ต้องหา ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนี้ มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10ปี
2.ผู้ต้องหามีการกระทำต่อทรัพย์สินเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงผู้เสียหาย จำนวนสูงถึง 39 ล้านบาท ในลักษณะเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินดังกล่าวต่อไปอีก โดยมีเจตนาเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อให้ยากต่อการสอบสวนและติดตามทรัพย์สินนั้น
3.ก่อนที่ผู้ต้องหา จะถูกจับกุมตัว มีการเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ตามคำสั่งของนายษิทราเจตนาเพื่อให้ยากต่อการติดตามตัวและเป็นการทำลายหลักฐานการติดต่อ รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่มีอยู่ในโทรศัพท์
4.ผู้ต้องหาเคยให้การในฐานะพยาน อ้างถิ่นที่อยู่ว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2556 เวลา 17.00 น.(วันเกิดเหตุ) ผู้ต้องหาได้ไปรับบุตรของนายษิทรา ที่โรงเรียน โดยมีการนำภาพถ่ายสถานที่จากโทรศัพท์มือถือถือของบุตรนายพิทรา มาอ้างใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบคำให้การ แต่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ได้ไปรับบุตรของนายษิทราตามวันเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
5.จากการตรวจค้นบ้านพักของนายษิทรา ที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่ด้วย พบมีร่องรอยการขนย้ายทรัพย์สินออกจากตู้นิรภัย ซึ่งบุคคลที่รู้รหัสและสามารถเปิดตู้นิรภัยดังกล่าวได้มีเพียงนายษิทรา, นางสาวปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยาของนายษิทรา) และผู้ต้องหาเท่านั้น จึงเชื่อว่าผู้ต้องหานี้มีส่วนรู้เห็นในการขนย้ายทรัพย์สินต่างๆ ออกไปจากตู้นิรภัยด้วย ทำให้ยากต่อการติดตามทรัพย์สิน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ท้ายคำร้องผู้เสียหายขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากคดีมีอัตราโทษจำคุกและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายในคดีพยานสำคัญในคดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุมตัวพี่เมีย 'ทนายตั้ม' ฝากขังศาล ตร.ค้านประกัน เจ้าตัวไม่ยอมปริปาก
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ซึ่งเป็นพี่สาวของภรรยานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาข้อหา “ร่วมกันฟอกเงินและสมคบตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อฟอกเงิน” ในคดีเงิน 39 ล้านบาทของ
ตำรวจกองปราบ รวบพี่เมีย 'ทนายตั้ม' ร่วมกันฟอกเงิน คดีโกงเจ๊อ้อย 39 ล้าน
พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เดินทางเข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขออนุมัติออกหมายจับ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของนายษิทรา หรือ ทนายตั้ม ในความผิดฐาน “ร่วมกันฟอกเงิน และ สมคบตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อฟอกเงิน”
เปิดพฤติการณ์ 'สามารถ' ฟอกเงินดิไอคอน ตำรวจค้านประกันร่ายเหตุผลยาว
ศาลอาญารับฝากขัง สามารถ-เเม่ ฟอกเงินคดีดิไอคอน ด้านจนท.ค้านประกันร่ายยาว เป็นบุคคลที่เคยมีตำแหน่งทางการเมือง ใกล้ชิดกับคนมีอำนาจ และมีศักยภาพการเงินสูง เกรงว่าจะหลบหนีไปยุ่งกับพยานหลักฐาน พบเงินหมุนเวียนตั้งเเต่ปี 61 ร้อยกว่าล้าน
ผบ.ตร. มอบ 'พล.ต.อ.ธนา' คุมคดีหมอบุญ เร่งประสานอินเตอร์โพลออกหมายแดงล่าตัว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
ผบ.ตร. ขอรอดูพฤติการณ์ 'สามารถ' หลบหนีหรือไม่ หลังถูกจับที่เชียงราย
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้าควบคุมตัวนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
เพื่อนร่วมรุ่น แจ้งจับ 'หมอบุญ' หลอกลงทุนโรงพยาบาล สูญเงิน 25 ล้าน
น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พานายโพธิรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี ทันตแพทย์ และพญ.สลวย (สงวนนามสกุล) อายุ 86 ปี คุณแม่ภรรยาและเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของนายแพทย์บุญ วนาสิน หรือหมอบุญอายุ 86 ปี เข้าพบพนักงานสอบสวนบก.ปอศ.