ตำรวจไซเบอร์ บุก 4 บริษัท เทรดหุ้นต่างประเทศ ตุ๋นเหยื่อเสียหายกว่า 70 ล้าน กลับพบเป็นเพียงร้านก๋วยเตี๋ยว-ร้านของชำ จับ 4 กรรมการบริษัทเข้าคุก
25 ส.ค.2567 – สืบเนื่องจากมีผู้เสียหาย ถูกกลุ่มมิจฉาชีพติดต่อเข้ามาทำความรู้จักบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และพูดคุยกันต่อผ่านแอปพลิเคชั่น Line จนเกิดความสนิทสนท ต่อมาจึงชักชวนให้ร่วมลงทุนเทรดหุ้นต่างประเทศ โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง จนผู้เสียหายหลงเชื่อและมีการโอนเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหา รวม 9 ครั้ง สูญเงินไปกว่า 3,730,000 บาท และผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 ในเวลาต่อมาพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 และ พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.1 บก.สอท.5 เร่งสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพได้เปิดบัญชีธนาคารในรูปแบบบริษัทเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และใช้เป็นช่องทางการรับโอนเงินที่ได้จากผู้เสียหาย จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า หลังจากเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีม้าของบริษัทแล้ว จะมีการโอนเงินออกไปยังบัญชีม้าแถวอื่นๆ ในทันที โดยบัญชีม้าบริษัท ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ในครั้งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.หนองคาย ระยอง พิษณุโลก และ พระนครศรีอยุธยา และไม่มีการประกอบกิจการจริงแต่อย่างใด จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นบริษัท พี ซี อินเตอร์เนชั่นเนลเทรด จำกัด ตั้งอยู่พื้นที่ หมู่ที่ 9 ต.นาทับไฮ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์พลอยจากสัตว์ แต่พบว่ามีสภาพเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ในชุมชน มีโต๊ะเพียงแค่ 1 โต๊ะ
บริษัท แฟชั่นนิสต้า จำกัด ตั้งอยู่พื้นที่ ถนนมาบยา ต.มาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่งจดทะเบียนการค้าเป็นบริษัทขายปลีกเสื้อผ้า แต่พบว่าเป็นห้องแถวชั้นเดียวสำหรับพักอาศัย ภายในไม่มีการประกอบกิจการใดๆ ,ห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรยา การค้า ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 8 ต.วัดพริก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งจดทะเบียนการค้าจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ แต่พบว่ามีสภาพเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ ไม่มีการประกอบกิจการค้าแต่อย่างใด,บริษัท พรสินาพรรณ ทรานสปอร์ต จำกัด ตั้งอยู่ใน หมู่ที่ 4 ต.ชะแมบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จดทะเบียนการค้าเพื่อขนส่งสินค้าและคนโดยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่พบว่าสภาพจริงเป็นร้านของชำและบ้านพักอาศัย ไม่มีการประกอบกิจการบริษัทแต่อย่างใด
ทั้งนี้จากการตรวจสอบความเชื่อมโยงทั้งหมดพบว่า บัญชีม้าของบริษัทดังกล่าว มีการหลอกลวงผู้เสียหายทั่วประเทศ ขณะนี้มีผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความแล้ว จำนวน 27 ราย ความเสียหายรวมกว่า 70,391,813 บาท
พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ ผบก.สอท.5 ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว จำนวน 9 ราย จับกุมได้แล้วจำนวน 4 ราย จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างให้ไปทำการจดทะเบียนพาณิชย์ในลักษณะห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่ง 1 คน จะต้องเปิดบัญชีธนาคารให้ได้จำนวน 5 บัญชี โดยจะได้รับค่าตอบแทนบัญชีละ 7,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงว่าค่าจ้างจากการเปิดบัญชีม้าในนามบุคคลธรรมดาเนื่องจากมีความน่าเชื่อถือ และมิจฉาชีพก็จะนำบัญชีม้าดังกล่าวไปหลอกลวงเหยื่อ โดยขณะนี้ทางตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อจับกุมนายทุนและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 14,000 บาท
“ฝากเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัว หรือการโอนเงินในกรณีที่ไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ หากพบเจอเหตุการณ์ที่มีลักษณะดังกล่าว ขอให้ติดต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือโดยทันที ซึ่งขอย้ำว่าช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์มีเพียงช่องทางเดียวเท่านั้นคือ เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ไม่มีการรับแจ้งความหรือให้ความช่วยเหลือทางแพลตฟอร์มอื่น หรือช่องทางอื่น หากพบเห็นทางช่องทางอื่นนอกเหนือจากเว็บไซต์นี้ ขอให้มั่นใจได้ว่าเป็นมิจฉาชีพทั้งสิ้น อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด” พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ กล่าว