'ตำรวจไซเบอร์' เปิดปฏิบัติการ! ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ตั้งฐานเชียงใหม่

28 มิ.ย. 2567 – พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.), พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1,พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 และ พ.ต.อ.บัญชา ศรีสุข รอง ผบก.สอท.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ DAY HUNTER กรณีตำรวจไซเบอร์บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนข้ามชาติ ตั้งฐานในเชียงใหม่ โทรหลอกเหยื่อโอนเงินจากประเทศจีน

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2567 พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 นำกำลังตำรวจไซเบอร์พร้อมเจ้าหน้าที่ กสทช. นำหมายค้นศาลจังหวัดพัทลุง บุกตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ 12 (บ้านวังหวายน้ำ) ต.ตำนาน อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง สามารถจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขายอุปกรณ์แปลงสัญญาณ ประเภท VoIp GSM Gateway ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์นิยมใช้แปลงสัญญาณมือถือเพื่อโทรติดต่อหลอกลวงผู้เสียหายในประเทศไทย

จากการตรวจค้นจับกุมในครั้งนั้น กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.5 ได้พบข้อมูลสำคัญจึงได้สืบสวนขยายผลจากพื้นที่ภาคใต้ จนพบการเชื่อมโยงว่า มีการใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับการทำงานของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มคนจีนที่ทำงานลักษณะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมประสานการปฏิบัติกับ บก.สอท.4 และหน่วยงานตำรวจในพื้นที่เพื่อลงพื้นที่แฝงตัวและสืบสวนข้อมูลเพิ่มเติม

จากการสืบสวนและข้อมูลจากสายลับที่แฝงตัวในพื้นที่ ทำให้ทราบว่า มีที่พักเป็น Pool Villa แห่งหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ 4 ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้มีกลุ่มชาวต่างชาติ ทั้งสัญชาติจีนและสัญชาติเมียนมาร์ จำนวนประมาณ 10-15 คน พักอาศัยอยู่ ในลักษณะปกปิดมิดชิด มีรั้วกั้น มีกล้องวงจรปิดโดยรอบ และมีการเปิดไฟส่องสว่างช่วงเวลากลางคืนตลอดทั้งคืน ทำให้เชื่อว่ามีการทำงานของกลุ่มแก๊งคนจีนในที่พักแห่งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสามารถรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดขออำนาจศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายได้สำเร็จ

ต่อมา พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5, พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 และ พ.ต.อ.อุกฤช ศรีนิติวรวงศ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.5 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอยสะเก็ด และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ร่วมนำกำลังบุกเข้าตรวจค้นพูลวิลล่าหลังดังกล่าว จากการตรวจค้น พบชาวต่างชาติ เป็นสัญชาติจีน จำนวน 7 คน และสัญชาติเมียนมา จำนวน 6 คน รวมจำนวน 13 คน นั่งทำงานอยู่ภายในห้อง จากการตรวจสอบ พบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ All in one จำนวน 1 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ชนิดพกพา (โน้ตบุ๊ก) จำนวน 8 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือจำนวน 94 เครื่อง และเอกสารเขียนด้วยลายมือภาษาจีน จำนวน 3 แผ่น พร้อมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้งานในคอลเซ็นเตอร์อื่นๆ รวมของกลางทั้งหมดกว่า 104 รายการ นอกจากนี้ ยังพบสินค้านำเข้าหนีภาษีอีกจำนวนมาก

จากการซักถามผู้ต้องหาเบื้องต้น ได้ยอมรับว่า พวกตนได้ทำงานในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยร่วมกันหลอกลวงเหยื่อในประเทศจีนให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว วิธีการทำงานคือ ทุกคนจะมีโทรศัพท์ประจำตัวคนละ 3 เครื่อง จากนั้นจะมีคนส่งรายชื่อพร้อมข้อมูลคนจีนมาให้ทางแอปพลิเคชัน Telegramที่ติดตั้งในโทรศัพท์ของแต่ละคน จากนั้นแต่ละคนมีหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าตามที่ได้รายชื่อมา ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อมูลจริงที่ได้มาจากผู้ที่เคยทำประกันภัยไว้ในประเทศจีน

จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาจะใช้โทรศัพท์ที่มีประจำตัวแต่ละคนอีก 2 เครื่อง โทรไปหลอกเหยื่อที่ประเทศจีน โดยหนึ่งในผู้ต้องหาได้ยกตัวอย่างประโยคให้ฟังว่า “ประกันภัยของคุณหมดอายุแล้ว ตอนนี้คุณสนใจจะทำประกันต่อหรือจะยกเลิก” “หากต้องการซื้อประกันต่อ เรามีราคาโปรโมชัน โดยจ่ายค่าทำประกันในราคาเพียง 800-2000 หยวน” โดยหากมีลูกค้าสนใจก็จะแจ้งลูกค้าว่าจะหักเงินผ่านบัญชีอัตโนมัติ แต่หากไม่สนใจก็จะแจ้งให้เหยื่อที่ถูกหลอกทราบว่าจะมีพนักงานติดต่อกลับไปเพื่อให้กรอกข้อมูลส่วนตัวสำหรับใช้ยกเลิก

หลังจากนั้นจะมีการส่งข้อมูลทั้งของผู้ที่สนใจและผู้ไม่สนใจไปให้ผู้ต้องหาอีกกลุ่มหนึ่งผ่านแอปพลิเคชัน Telegram เพื่อรับช่วงต่อในการติดต่อกับคนจีนที่ไม่สนใจทำประกันภัย โดยผู้ต้องหากลุ่มนี้ จะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของเว็บไซต์ชื่อ teng xun wei bao แล้วแจ้งเหยื่อว่า หากยกเลิกไม่ทำประกันภัยต่อ ก็จะถูกหักเงินอัตโนมัติ ประมาณเดือนละ 100-300 หยวน จากนั้นจะขอข้อมูลส่วนบุคคลจากลูกค้า เช่น ชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน เป็นต้น เพื่อยกเลิกการทำประกันภัย เมื่อได้มาแล้วก็จะส่งข้อมูลต่อให้ผู้ร่วมกระทำผิดอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อดูดเงินจากบัญชีของเหยื่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างขยายผลว่าเป็นกลุ่มใด

ในส่วนของเหยื่อที่สนใจทำประกันต่อ กลุ่มผู้ต้องหาจะติดต่อกลับไปโดยแจ้งว่าเป็นประชาสัมพันธ์ของเว็บไซต์ teng xun wei bao เมื่อถึงขั้นตอนการชำระเงินเพื่อทำประกันภัย ผู้ถูกจับก็จะส่งช่วงต่อให้แก่ผู้ร่วมกระทำความผิดอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างขยายผลว่าเป็นกลุ่มใดเช่นกัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.4 ดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมเร่งขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เอก-ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ' เผย 'บิ๊กโจ๊ก' นัดพบหลายครั้ง เล่าถึงคนอื่นนับ 10 คน

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ตั้งแต่มีกรณีที่ ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทั้ง

'ทักษิณ' บอกวุ่นวาย ปมบิ๊กตำรวจขัดแย้ง ร้องโอ๊ยทันทีหลังเจอถามร่วมจัดโผทหารหรือไม่

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ระหว่างพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

'บิ๊กโจ๊ก' ฟ้อง 'พล.ต.ต.' กูรูกฎหมาย หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เดินทางมายื่นฟ้องกูรูด้านกฎหมายซึ่งเป็นอดีตตำรวจ ยศพล.ต.ต.ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีจงใจใส่ความต่อบุคคลที่ 3 ทำให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด พร้อมเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท

'ษิทรา' เชื่อ มติ ก.ตร. สวนกฤษฎีกา เพราะหักดีล!

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ไปยื่นหนังสือให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือบิ๊ก

'ผวจ.พังงา' จับมือผู้การ ประกาศห้ามเปิดบ่อนพนันเด็ดขาด

นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผู้บังคับการจังหวัดภูธรจังหวัดพังงา (ผบก.ภ.จว.พังงา)

จับแล้ว! หนุ่มขี้ยาทำร้ายแท็กซี่ชิงรถหนี พบประวัติโชกโชน

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้คุมตัว นายวิสิชัย (หรืออาร์ม) เดชมาก อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ ทำร้ายร่างกาย นายโอภาส แก้วปัญญา อายุ 75 ปี และชิงทรัพย์ (รถแท็กซี่)