ศาลอาญาคดีทุจริตฯกลางสั่งจำคุก อดีต ผอ.-รอง ผอ.สามเสนวิทยาลัย เรียกแป๊ะเจี๊ยะ เข้ากระเป๋าตัวเองคนละ 18 ปี 24 เดือน ใช้ชำระเงินตกเป็นของเเผ่นดิน 7 เเสนบาท
24 เม.ย.2567 - ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถนนเลียบรางรถไฟ ศาลกลางอ่านคำพิพากษา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ฟ้องนาย นายวิโรฒ สำรวล อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลย ในกรณีร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียนโดยไม่นำเข้าระบบการเงิน เพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน และร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไปโดยทุจริต
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามว่า ในระหว่างเดือนม.ค.-มิ.ย.2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัย และจำเลยที่ 2 รองผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัยร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 6 ราย โดยไม่นำเข้าระบบการเงินเพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน โดยร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไป เป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริตและยังร่วมกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินเเละบัญชีของโรงเรียน
กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงินซึ่งไม่ตรงต่อความจริงอันเป็นการกระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-2ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147มาตรา148มาตรา 157 และมาตรา 162(1), (5) ประกอบมาตรา 86,90, 91ตามพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบป รามการทุจริต พ.ศ. 2542ฯ และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148มาตรา 157 และมาตรา 162(1), (4) ประกอบมาตรา 86 มาตรา 90และมาตรา 91ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 192และขอให้ริบทรัพย์สินหรือประโยซน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคนั้น โจทก์มีผู้ปกครอง 6 ราย ให้การยืนยันว่า จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันรับเงินบริจาคที่ประสงค์จะมอบให้โรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัยเพื่อให้บุตรหลานของตนได้รับการพิจารณาให้เข้าศึกษาในโรงเรียน ประเภทเงื่อนไขพิเศษ แต่กลับไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ผู้ปกครองกล่าวอ้างนั้นก็สอดคล้องกับหลักฐานการถอนเงินจากบัญชีธนาคารและต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1,2 มาก่อน ที่จำเลยที่ 1,2 นำสืบว่า เงินที่ได้รับมานั้นได้นำไปมอบให้คณะกรรมการภาคีเครือข่ายการรับนักเรียนและการระดมทรัพยากรเพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาที่จำเลยที่ 2 ทำการแต่งตั้งนั้น
แต่การจัดตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าว ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งไม่เป็นไปตามแนวทางในการปฏิบัติการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน อีกทั้งการรับมอบเงินโดยคณะกรรมการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 และระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดเก็บเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2551 แต่คณะกรรมการดังกล่าวกลับทำผิดระเบียบทั้งหมด เนื่องจากเมื่อรับมอบเงินบริจาคมา ก็ไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินให้และไม่นำเงินบริจาคไปเข้าบัญชีเงินฝากของโรงเรียนในทันที แต่นำเงินไปเก็บไว้ในตู้เซฟที่อยู่ในห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ซึ่งไมใช่ตู้เซฟของทางราซการ
ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่รับเงินบริจาคไมใช่กรรมการเก็บรักษาเงินและตรวจนับเงินที่โรงเรียนแต่งตั้งขึ้นเงินที่เก็บไว้ในตู้เซฟตามระเบียบต้องเก็บไว้ได้ไม่เกินวันละ 3หมื่นบาท และเก็บไว้ในตู้เซฟได้ไม่เกิน 3วันแต่กลับเก็บเงินไว้มากกว่า ๓ วัน ไม่มีการตรวจนับของเงินบริจาคที่ได้รับมาในทันทีเพื่อนำเข้าระบบบัญชีของโรงเรียนเพื่อลงทะเบียนคุมรายรับเงินได้สถานศึกษา และยังเก็บเงินไว้เป็นจำนวนมากถึงหลักล้าน โดยไม่สามารถรวจสอบยอดเงินที่แน่นอนได้
ดังนั้นการแต่งตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าวจึงเป็นการแต่งตั้งที่ไม่ชอบและไม่มีอำนาจในการระดมทรัพยากรเพื่อเก็บรักษาเงินไว้แทนโรงเรียนได้ และยังพบพิรุธว่า ระหว่างที่มีการเก็บเงินบริจาคไว้นั้น ปรากฎว่ามีคลิปวีดีโอที่ตัวแทนผู้ปกครองแอบบันทึกไว้ขณะที่มีการส่งมอบเงินบริจาคให้แก่จำเลยที่ 1,2 เผยแพร่ทางสื่อสารมวลชน
หลังจากจำเลยที่ 1 แถลงข่าวแล้ว จำเลยทั้งสามจึงรีบตามเจ้าหน้าที่การเงินมาออกใบเสร็จรับเงินย้อนหลังให้และในใบเสร็จไม่มีการระบุชื่อผู้บริจาค ซึ่งไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้แล้วรีบนำเงินบริจาคเข้าระบบบัญชีเงินฝากของโรงเรียน เป็นการกระทำเพื่อปกปิดความผิดของตน และความผิดสำเร็จลงแล้ว
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1,2จึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงินอันเป็นเท็จและฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารอันเป็นเท็จและมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการออกใบเสร็จรับเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3ก็ไม่มีหน้าที่โดยตรงและไม่มีหน้าที่โดยทั่วไปเกี่ยวกับการออกใบเสร็จรับเงิน และการข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดนั้น
การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันให้เจ้าหน้าที่การเงินกรอกข้อความในใบเสร็จรับเงินมิใช่การมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่ได้บังคับข่มขืนใจเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นการกระทำโดยสมัครใจเอง การกระทำของจำเลยที่1,2จึงไม่เป็นความผิดตามข้อหาดังกล่าวจำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1,2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1,2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
จำคุกจำเลยที่ 1,2 กระทงละ 5 ปี รวม 6 กระทง เป็นจำคุกคนละ 30 ปี ทางนำสืบและคำรับของจำเลยที่ 1,2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1,2 กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 1,2กระทงละ 3ปี4เดือน รวม 6 กระทง คงจำคุกคนละ 18 ปี 24 เดือน ให้จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันชำระเงินหรือแทนกันชำระเงินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นเงิน 7 เเสนบาท โดยให้ริบเงินจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ข้อหาอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ภายหลังฟังคำพิพากษาจำเลย 1,2 ยื่นคำร้องขอประกันตัว ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง ส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งคาดว่าคำสั่งจะออกภายใน 1-3 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณา จำนวน 7 นัด รวมระยะเวลานับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 มิ.ย.2566) ถึงวันอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 10 เดือน 18 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ป.ป.ช. แจ้งมติ 'สส.มงคลกิตติ์' ลาสภาฯไปดูหนังผิดจริยธรรมหรือไม่
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีมีข่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช
'นิพิฏฐ์' นัดอีก 1 เดือน เจอกันหน้าป.ป.ช.
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กว่า เมื่อวาน (17 กค.2567) ผมไปติดตามการดำเนินการของป.ป.ช.กรณี คปท.และภาคประชาชน
เปิดชื่อ 3 แคนดิเดต เข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. คนใหม่
นายนนทิกร กาญจนะจิตรา ประธานกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการกรรมการป.ป.ช. ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหาฯ ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการสรรหาฯ ลงวันที่ 6 มิ.ย. 2567 รับสมัครบุคคลเข้ารับการสรรหาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. นั้น บัดนี้การรับสมัครสรรหาได้เสร็จสิ้นแล้ว อาศัยอำนาจตามข้อ 7
ศาลนัดฟังคำสั่ง 'บิ๊กโจ๊ก' ฟ้องหมิ่น 'อัจฉริยะ' 6 ส.ค. ปัดมีคนเรียก 10 ล้าน แลกแฉ
ศาลนัดฟังคำสั่ง 'โจ๊ก' ฟ้องหมิ่น ‘อัจฉริยะ’ 6 ส.ค. 'บิ๊ก ตร.' ย้อนถามกลุ่มนายพลชลบุรีโดนคดีกลับไม่ถูกปลดออก ปัดมีคนเรียกเงิน 10 ล้าน แลกแฉนายพล
วิจารณ์แซ่ด! อัยการปราบทุจริตฯ สั่ง สอท. ส่งสำนวนคดีเว็บพนันพันบิ๊กตร. ให้ ป.ป.ช.
'อัยการปราบทุจริตฯ' ร่อนหนังสือด่วนที่สุดให้ 'สอท.' รับสำนวนคดีเว็บพนันพันบิ๊กตำรวจ ไปส่ง ป.ป.ช. ทั้งที่ อสส. ยังไม่ได้มีคำสั่งชี้ขาดข้อหารือ วิจารณ์เเซ่ดบรรทัดฐานใหม่
'ชาญ' ชนะแต่แพ้! เตือนเจ้าหน้าที่รัฐ ระวัง ม.157
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ชนะแต่แพ้