ภาคประชาชนสุดทน ร้อง รมว.ดีอี ชี้อาชกรรรมทางเทคโนโลยีเป็นภัยร้ายแรงสร้างความเสียหายจำนวนมาก แต่จนท.ไม่ระงับยับยั้งและหยุดเงินที่โดนฉ้อโกงมาคืนแก่ผู้เสียหายได้ในเวลาอันสั้น จึงขอเข้าพบและขอคำชี้่แจงวิธีปฏิบัติงานของจนท.
27มี.ค.2567 - นายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ในนามตัวแทนผู้ประสานงานคณะราษฎรไทยแห่งชาติ(ครช.) และอดีตที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยงสภาผู้แทนราษฎร 2566 ได้ยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร้องเรียนการใช้อำนาจ พรก.cyber ไร้ประสิทธิผล ขอเข้าพบส่วนที่เกี่ยวข้อง และขอคำชี้แจง
เนื้อหาในหนังสือมีใจความว่า ข้าพเจ้า คณะราษฎรไทยแห่งชาติ ครช. องค์กรตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 42 ส่วนขับเคลื่อนภาคประชาชนในฐานะองค์กรที่เกี่ยวข้อง ในฐานะตัวแทนของประชาชนและชุมชน ผู้เสียภาษี ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิในการร่วมจัดการ ร่วมรับประโยชน์ ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ และเป็นผู้ได้รับความเสียหาย กรณีมิจฉาชีพ ฉ้อโกง โดยตามนิยาม “อาชกรรรมทางเทคโนโลยี” โดยปัจจุบันเป็นภัยร้ายแรงที่ปรากฏความเสียหายทุกวัน และพัฒนารูปแบบความฉ้อฉล กลโกงที่ก้าวล้ำอย่างมาก ทำให้สังคมหวาดกลัววิตก แม้กระทั่ง จนท.ตำรวจเองยังโดนกระทำ เป็นภัยร้ายแรงที่สร้างความเสียหายอย่างมาก และเป็นเรื่องที่รัฐ ต้องใช้อำนาจให้ถูกวิธี และ ทันเวลา
โดยที่ พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2566 ได้กำหนดอำนาจให้ ฯพณฯ และ ส่วนที่เกี่ยวข้องไว้อย่างมาก และ ได้มีการเปิดรับแจ้งเรื่องทาง โทรด่วน 1441 แล้ว แต่กระบวนการที่เกี่ยวข้อง และ จนท.ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการดำเนินการของผู้เสียหาย กับส่วนที่เกี่ยวข้องฯ ยังไม่ได้ผลที่จะระงับยับยั้ง และหยุดเงินที่โดนฉ้อโกงดังกล่าวมาคืนแก่ผู้เสียหายได้โดยประจักษ์ ในเวลาอันสั้น
ส่งผลให้ผู้เสียหายที่โดนฉ้อโกงไปจำนวนมากหลายล้านบาท และ มีจำนวนผู้เสียหายเยอะมาก และการโทรไปยัง 1441 นั้นสายไม่ว่างตลอดแทบทั้งวัน จนท. ไม่เพียงพอ ในการรับเรื่อง เห็นว่า จนท.รัฐ ที่เกี่ยวข้อง และ คกก.ตามมาตรา 13 อาจยังไม่เข้าใจกรรมวิธีในการจัดการดังกล่าว ตลอดจนกระบวนการในการกำหนดวิธีการ ของส่วนที่เกี่ยวข้อง ยังทำไม่ถูกวิธี ยังไม่เข้าใจหลักของความจริง 4 ประการในการแก้ปัญหา ได้ทันเวลา หรืออาจมี จนท.รัฐบางคน บางหน่วย มีส่วนร่วมรู้เห็นกับ กลุ่มอาชญากรทางเทคโนโลยี (โดยมีข่าวปรากฏว่า กลุ่มมิจฉาชีพจ่ายส่วยให้ ตร.) (จึงไม่มีผลงานที่จะระงับเงินได้ทันเวลาออกมาเลย) เพราะเงินจะต้องถอนในประเทศ ไม่อาจโอนออกไปถอน ต่างประเทศได้
ฉะนั้น จังหวัดชายแดนสำคัญ จะต้องมีการตรวจติดตามการถอนเงินสดจำนวนมากของ บช.กลุ่มมิจฉาชีพ อย่างเข้มงวด โดยที่ตาม พรก. ให้อำนาจ ส่วนที่เกี่ยวข้องไว้มาก แต่กลับไม่มีข่าวว่า ผู้เสียหายที่แจ้งความได้เงินคืน ครบแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ข้าฯไม่อาจ ยอมรับ / ทนดู ต่อไปได้
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น อาศัยบัญญัติตาม รธน.ม 3 25 41 43 53 57 63 78 ประกอบ ม 51 และ พรบ.บริหารราชการแผ่นดิน ม 3/1, 20 และกฎหมายทุกฉบับที่ให้สิทธิและคุ้มครองข้าฯ ขอนำเรียนเพื่อฯพณฯ โปรดพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
ข้อ1 รับเรื่องเข้าสู่กระบวนการ
ข้อ 2 ขอเข้าพบส่วนที่เกี่ยวข้อง /ขอคำชี้แจง โปรดจัดเวลาแจ้งแก่ข้าฯ และคณะ 3 คน ล่วงหน้า 3 วัน
ข้อ3 ขอมีส่วนร่วมในการ รับทราบ /นำเสนอ แนวทางการในการระงับภัย อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กับ จนท.รัฐ หน่วยงานของรัฐ ตาม มาตรา 4 13
ข้อ4 ขอให้นำเสนอผลงานในการหยุดเงิน หยุด บช. ของมิจฉาชีพ cyber แบบrealtime ในเวป กระทรวงด้วย
ข้อ5 ขอทราบแนววิธีการปฏิบัติของ จนท.ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ ผู้เสียหาย พบเหตุโดนดูดเงินใน บช. หรือ โดนกระทำฯ จนถึงการได้เงินคืน จนท.ที่เกี่ยวข้องทำอะไรบ้าง อย่างใด วิธีใด ด้วยระยะเวลาเท่าใด โดยละเอียด
ข้อ 6 ขอทราบมาตรการ วิธีการ ป้องกันปราบปราม /ติดตาม/ สืบสวน/สอบสวน /เรื่องการถอนเงินสดในบช.ของมิจฉาชีพ ผู้ต้องสงสัย โดยละเอียด
จึงนำเรียนเพื่อโปรดพิจารณา ดำเนินการ เป็นการเร่งด่วน โดยขอกำหนด 15 วัน จักขอบพระคุณยิ่ง โดยขอถือหนังสือนี้เป็นการแจ้งร้องทุกข์ ร้องเรียน ทักท้วง ต่อ จนท.รัฐตามกฎหมายแล้ว