'2 กมธ.สภา' เลื่อนพบ 'ลุงเปี๊ยก' แนะปิดช่องโหว่เอาผิดเยาวชน

‘2 กมธ.’ เลื่อนพบ ‘ลุงเปี๊ยก’ เหตุรู้ตัวคนคลุมถุงดำแล้ว รออาการดีขึ้นก่อน ‘ชัยชนะ’ แนะปิดช่องโหว่กฎหมาย หลังเด็กครบ 18 ปี นำตัวเข้าคุกต่อ ขณะที่ ‘ณัฐชา’ จ่อถก พม. หาทางออกคนเร่ร่อน

19 ม.ค. 2567 – ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะประธาน กมธ.การสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทั้ง 2 กมธ. ยกเลิกการไปพบนายปัญญา คงแสนคำหรือลุงเปี๊ยก สามีของป้าบัวผัน ตันสุ ที่ถูกแก๊งเยาวชนทำร้ายจนเสียชีวิต ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี อ.ธัญบุรี ปทุมธานี

โดยนายชัยชนะ กล่าวว่า ที่เราไม่ได้ไปพบลุงเปี๊ยกเนื่องจากเมื่อช่วงค่ำวันที่ 18 ม.ค. ทราบตัวผู้ที่กระทำการทรมานต่อลุงเปี๊ยกแล้วและได้มีการแจ้งความเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทรมานลุงเปี๊ยก ทั้งตำรวจขาเป๋ และรองผู้กำกับสืบสวนที่รับทราบเหตุแต่ไม่ยับยั้ง ประกอบกับลุงเปี๊ยกได้รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลธัญรักษ์ ที่เป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทางจิตเวช เนื่องจากลุงเปี๊ยกเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ดังนั้น ทาง กมธ.จึงรอให้อาการของลุงเปี๊ยกดีขึ้นก่อน เพื่อที่จะเข้าไปพบอีกครั้งและสอบถามว่า กระบวนการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการไปนั้นพอใจแล้วหรือยัง และหลังจากนี้ต้องการเรียกร้องและเยียวยาอะไรบ้าง

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสาเหตุมาจากเยาวชนยอมรับสารภาพว่า ก่อนที่ได้กระทำความผิดได้เสพยาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาหลัก ดังนั้น ในฐานะที่ตนเป็นตัวแทนประชาชนขอให้รัฐบาลปราบปรายาเสพติดอย่างเด็ดขาด เพราะเราจะเห็นได้ว่าปัญหาสังคมทุกวันนี้ ไม่ว่าลูกฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่ายาย ก็มากจากยาเสพติดทั้งสิ้น และมาจากพนันออนไลน์ ซึ่ง 2 ปัญหานี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดอาชญากรรมมากมาย ซึ่งกรณีของป้าบัวผันถือว่าเป็นกรณีที่น่าศึกษามาก เพราะถ้าพูดกันตามตรงวันนี้ลุงเปี๊ยกเข้าไปเรือนจำ 100% แล้ว เพียงแต่เมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าไปดูก็ได้หลักฐานใหม่ ลุงเปี๊ยกจึงได้รับอิสรภาพและได้รับการบำบัด ดังนั้น ขอฝากว่าในการทำคดีต้องทำให้เรียบร้อยอย่าเร่งรีบ และเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นดาบตำรวจและรองผู้กำกับสืบสวนที่มีส่วนใช้ถุงดำคลุมลุงเปี๊ยก ในการไปรีดและทรมาน ต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นประชาชนจะไปพึ่งใครได้ หากกระบวนการไม่สามาถพึ่งพาได้

“เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีผู้กำกับโจ้ และหลังจากนั้น สภาฯ ได้ผ่านพระราชบัญญัติอุ้มหาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวของดาบตำรวจและรองผู้กำกับสอบสวนถือว่าผิดมาตรา 5 มีโทษจำคุก 5 – 15 ปี ปรับ 3 แสนบาท ดังนั้นต้องไม่เกิดขึ้นอีก เพราะวิธีการสืบสวนวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาไปอุ้ม หรือเอาไปรีด ดูกล้องวงจรปิด การใช้โทรศัพท์ดูทางอากาศผมว่าน่าจะเพียงพอแล้ว” นายชัยชนะ ระบุ

ส่วนเรื่องข้อกฎหมายที่ต้องมีการแก้ไข​ที่จะเอาผิดเยาวชนนั้น ต้องยอมรับว่ากฎหมายเปิดช่องให้เยาวชนพอสมควร ดังนั้นหากจะมีการแก้กฎหมายในอนาคต ต้องแก้ในส่วนที่กระทำผิดที่กำหนดว่าอายุ 18 ปี ต้องออกจากสถานพินิจ แต่การกระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไตรตรองไว้ก่อน ควรที่จะให้บุคคลนั้นออกจากสถานพินิจแล้วเอาไปคุมขังที่เรือนจำกลาง ไม่เช่นนั้นในอนาคต สมมติว่าคนที่คิดทำร้ายผู้อื่นก็จะใช้เด็กเยาวชนเหล่านี้เป็นเครื่องมือ เพราะอย่างไรโทษไม่เกิน 18 ปี สมมติว่าเด็กคนนี้อายุ 15 ปี ก็รับโทษแค่ 3 ปีเท่านั้น จึงมองว่าถ้าเรามีช่องว่างทางกฎหมาย ก็มีช่องว่างการกระทำความผิด

ด้านนายณัฐชา กล่าวว่า ในฐานะ กมธ. สวัสดิการฯ และมีข้อเรียกร้องจากสังคมจำนวนมากในเรื่องของกฎหมายการคุ้มครองเด็ก เรื่องบทลงโทษเด็กที่กระความผิด เพราะวันนี้เยาวชนที่กระทำความผิด กระทำความรุนแรง และทำให้ผู้อื่นเสียหายจนถึงชีวิต ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 73 74 และ 75 ระบุไว้ว่า เด็กที่มีอายุไม่เกิน 12 ปี ไม่ต้องรับโทษ ​โดยส่งไปยังสถานพินิจ แต่อยู่ได้ไม่เกินอายุ 18 ปี หมายความว่าหากเด็กที่กระทำความผิดอายุ 14 ปี ก็ส่งให้คุมขังที่สถานพินิจได้สูงสุด 4 ปี สังคมอาจจะมองว่าเป็นการลงโทษที่เบามาก เป็นบทลงโทษที่ไม่สมควรแก่เหตุ ฉะนั้นเรื่องนี้ทาง กมธ. สวัสดิการฯ ได้เตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารืออีกครั้ง ทั้งนักสิทธิมนุษยชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตัวแทนอธิบดีกรมกิจการเด็ก มาร่วมพูดคุยว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วจะต้องดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ ในการประชุมของกมธ.เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พูดคุยเรื่องบทลงโทษ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงการแก้กฎหมายในกฎหมายฉบับดังกล่าว เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายคือต้องการให้โอกาสเด็กที่พลาดพลั้ง ไม่อยากให้เป็นตราบาปไปตลอดชีวิต

ส่วนเรื่องวิกฤตศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกรณีของป้าบัวผัน นอกเหนือจากคดีฆ่าคนตายปกติแล้ว ยังเป็นกรณีตัวอย่างที่ประชาชนตั้งคำถามอย่างมากว่าจะมีอีกกี่ครั้งที่ผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ และมีกระบวนการของตำรวจที่เข้าไปช่วยเหลือ ไม่ว่าโยนความผิดให้บุคคลที่เรียกว่าเป็นโรคจิต โยนความผิดให้กับผู้ที่มีฐานะยากจน โยนความผิดให้กับบุคคลที่ไม่สามารถต่อสู้ทางคดีความได้ ถ้าไม่เป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นข่าวก็อาจจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ไปแล้วหลายๆ ครั้ง และถ้าไม่มีวัตถุพยานที่เป็นกล้องวงจรปิด วันนี้ลุงเปี๊ยกอยู่ในเรือนจำไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าในการให้ความยุติธรรมกับพี่น้องประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ส่งเสริมให้ความจริงนั้นปรากฏ วันนี้หากไม่มีพยานหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดเราก็จับผู้บริสุทธิ์แทนกลุ่มที่กระทำความผิด

ดังนั้น จากกรณีที่เกิดขึ้นจึงได้มีการหารือกับ กมธ. ตำรวจ ว่า เราอาจจะหยิบบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นที่ต้องหารือกันอย่างจริงจังว่า สุดท้ายแล้วกระบวนการยุติธรรมหรือวิธีการพิจารณาคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจแสวงหาข้อเท็จจริงได้มากน้อยแค่ไหน และกระบวนการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว สุดท้ายเป็นกระบวนการที่ผิด การที่จะย้อนกลับมาดำเนินการใหม่ สามารถทำได้หรือไม่ และผู้ที่อยู่ในสำนวนจะมีความผิดหรือไม่ เพราะจากคลิปเสียงที่ออกมาเหมือนว่าทำไปแล้วครึ่งทางก็อยากจะทำต่อให้จบ โดยที่เอาคนไม่ผิดไปจำคุกให้ได้ เมื่อมีพยานหลักฐานจึงมีข้อโต้แย้งขึ้นมา

นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า ส่วนคนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ในบริเวณต่างๆ แล้วถูกกระทำโดยผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มที่พยายามกลั่นแกล้ง เป็นพฤติกรรมเลียนแบบความรุนแรง แต่เมื่อเขาตอบโต้กลายเป็นเขาผิด ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่และคล้ายกับกรณีป้าบัวผันที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถึงกับเสียชีวิตแต่ทุกข์ทรมานอยู่ ดังนั้น จะต้องดำเนินการให้กลุ่มคนเหล่านี้มีความปลอดภัยเพราะหากเกิดคดีความเขาไม่มีความสามารถมากพอที่จะมาต่อสู้คดี.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'บิ๊กต่อ' สั่งนครบาลสอบด่วน! ป้ายซื้อขายพาสปอร์ต ผิดจริงฟันแน่

'ผบ.ตร.' สั่งตรวจสอบที่มาของป้ายโฆษณาภาษาจีน รับทำหนังสือเดินทาง-ขอสัญชาติต่างๆ กำชับ สตม. ตรวจสอบ คัดกรองคนต่างด้าว เจอกระทำผิดฟันตามกฎหมายทุกมิติ

อดีตจเรตำรวจฯ ขอทำเรื่องเฉพาะหน้า ‘เพิ่มเงิน-สวัสดิการตำรวจ’ ก่อนจะไปเปลี่ยนประธาน ก.ตร.

ณะนี้มีการเคลื่อนไหวจะปฏิรูปตำรวจโดยตำรวจเอง หลักๆคือให้นายกรัฐมนตรีไม่เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.  แต่ประธานจะมาจากการเลือกกันเองเหมือนคณะกรรมการข้าราชการอัยการ หรือ ก.อ. กระผม ไม่แน่ใจว่าจะเกิดผลดีกว่าเดิมหรือแย่กว่าเก่า

‘นักกฎหมายตำรวจ’ ถอดบทเรียน การเข้าระงับเหตุ ลดความสูญเสีย

ด้วยความเคารพความกล้าหาญ และเสียสละของผู้เสียชีวิต ควรแก่การยกย่องเป็นเกียรติประวัติสืบไป แต่การเข้าระงับเหตุ ของตำรวจไทยมีข้อผิดพลาด ต้องนำไปถอดบทเรียนแก้ไข

สลด! หนุ่มมุกดาหารโดนไฟดูด ดับคาเสาไฟฟ้าแรงสูง

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มุกดาหาร ได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนตายบนเสาไฟฟ้าแรงสูง บริเวณทางเข้าหมู่บ้านคำตุนาง ไปยังหมู่บ้านกุดโง้ง ตำบลมุก อำเภอเมือง

‘บิ๊กเอก’ ยกเสียงสะท้อนจากตำรวจ เจ็บปวดผู้มีอำนาจข่มขืนองค์กร ถึงเวลาต้องปฏิรูปตร.

อีกเสียงสะท้อนจากนายตำรวจ ที่สื่อสารออกมา อย่างเจ็บปวด เปรียบเทียบให้เห็นภาพองค์กรตำรวจ ผู้มีอำนาจทางการเมือง อดีตผู้บังคับบัญชาสูงสุด ทำอะไรไว้ ควรที่จะปฏิรูปตำรวจอีกหรือไม่