ศาลสั่งจำคุกระนาว! 'ส.ต.ท.' ร่วมแก๊งลักปืนหลวงไปขาย หนักสุดโดน 96 ปี

ศาลอาญาคดีทุจริตสั่งจำคุกระนาว สิบตำรวจโทร่วมกับพวก 8 คนลักปืนหลวงขาย หนักสุดโดน 96 ปี เบาสุด 6 ปี 8 เดือน ให้การเป็นประโยชน์ลดกึ่งหนึ่งยกฟ้องจำเลยที่ 9

22 ธ.ค.2566 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 72และ 119/2566 ที่ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 ยื่นฟ้อง สิบตำรวจโท น. กับพวกรวม 9 คน จำเลย ทั้งสองคดีศาลสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83,86,91,147157, 57,371 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ พรบฯอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปีน , พรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่องกำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ตามพรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ให้จำเลยทั้ง 9 คืนอาวุธปืนเล็กยาวแบบเอ็ม 16 จำนวน 71 กระบอก หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,483,900 บาท

จำเลยทั้ง 9 ให้การปฏิเสธศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งเก้าตามทางไต่สวนแล้ว ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เจ้าหน้าที่ทหารสืบทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนสงครามชนิดต่างๆ หน่วยข่าวกรองทหารใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้แอปพลิเคชันทางการเงิน แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ชนิดต่างๆตรวจสอบกระบวนการซักถามไปแล้วบันทึกข้อมูลร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนขยายผลจากภาพกล้องวงจรปิดมีการสื่อสารการใช้แอพพลิเคชั่น Google Maps นำทางมาบริเวณที่เกิดเหตุ

เส้นทางทำธุรกรรมของธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการเงินของจำเลยทั้งหมด และพยานที่เกี่ยวข้องสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องตามลำดับพบว่า มีการเก็บกุญแจคลังเก็บอาวุธไว้ในที่เดียวกันเพื่อง่ายต่อการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดนำกุญแจคลังเก็บอาวุธอาศัยจังหวะและโอกาสที่ตนเองทำหน้าที่เวรยามกระทำการลักลอบนำเอาอาวุธปืนออกจากคลังอวุธและมีเส้นทางการธุรกรรมการเงินโอนเงินระหว่างจำเลย ด้วยกันแต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก และพบว่ามีจำเลยบางคนทำรายการถอนเงินสดหน้าธนาคารที่ได้รับมาจากภาพวงจรปิดกล้องของธนาคารต่างๆ เชื่อมโยงสัมพันธ์กันว่ามีการตกลงซื้อขายอาวุธปืน แต่ละช่วงเวลาที่มีการลักเอาและส่งมอบอาวุธปืนวันเกิดเหตุเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการส่งมอบกันจริงมีภาพวงจรปิดยืนยันว่ามีจำเลยที่ 2 พบกับจำเลยที่ 1 ถือสิ่งของเป็นซองกระดาษบรรจุเงินมอบให้แก่กันแล้วจำเลยที่ 1 นำเอาถุงบรรจุเงินสดส่งมอบให้จำเลยที่ 2ในกรุงเทพมหานครแล้ว จำเลยที่ 1 ถือถุงดังกล่าวกับทางอาวุธตามภาพถ่ายของกล้องวงจรปิด

ในชั้นซักถาม สืบสวนและสอบสวนจำเลยแต่ละคนได้ให้การถึงรายละเอียดของการซื้อขายอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนชนิดต่างๆ กับบุคคลภายนอกจำนวนหลายครั้งพยานหลักฐานของโจทก็สอดคล้องเชื่อมโยงตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นคำซัดทอดที่ต้องห้ามตามกฎหมายคำให้การของจำเลยแต่ละคนในชั้นสอบสวนสามารถนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ไม่

ปรากฎว่าพนักงานสอบสวนบังคับ ขู่เข็ญ ให้สัญญาล่อลวงทำร้ายร่างกายหรือกระทำการอื่นใดอันมิชอบด้วยกฎหมายจำเลยแต่ละคนให้การถึงรายละเอียดดังกล่าว ตามลำดับขั้นตอนข้อเท็จจริงสอดคล้องกันเป็นอย่างมากพูดถึงรายละเอียดการกระทำความผิดที่เจือสมสอดคล้องกัน การวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลฟังประกอบหลักฐานอื่นมิได้รับฟังแต่เพียงพยานบอกเล่าโดยลำพังมีเหตุผลหนักแน่นแม้จะไม่สามารถยึดอาวุธปืนของกลางนำมาตรวจสอบได้ว่าเป็นอาวุธปืนจากคลังอาวุธที่ถูกลักไปหรือไม่ แต่ภาพที่บันทึกในโทรศัพท์ของจำเลยที่ 6,7 มีสัญลักษณ์ของกองบัญซาการ ต. จำนวน 3 กระบอก มีหมายเลขอาวุธปืน 2 กระบอก ปะปนอยู่กับอาวุธปืนที่สูญหายอีก 71 กระบอก จึงเชื่อว่าเป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยที่  1 กับพวกลักนำออกไป

พยานหลักฐานของโจทย์ที่นำสืบและไต่สวนสามารถพิสูจน์ ความผิดของจำเลยผู้ทำความผิดได้ ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลย แต่ละคนที่อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องนั้น เห็นว่า เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานของโจทก็ได้ ฟังได้ว่าจำเลยแต่ละคนรู้หน้าที่และบทบาทของกันและกันมีสักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ รวมถึงรู้ถึงการกระทำในแต่ละครั้งของจำเลยที่ 1 ด้วยจำเลย 2,4-8 และที่ 8 มิใช่เจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวบุคคล การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานนี้เท่านั้น

ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริตหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าหนักงนของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

การกระทำของจำเลยที่ 2,4-6 และ 8 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4-6 และ 8 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฐานร่วมกันค้าหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ และฐานร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 3 มีอาชีพรับจ้างอยู่ที่ห้างสรรพสินค้ามีจำเลยที่ 2เป็นผู้ว่าจ้างให้ชับรถยนต์มารับที่กรุงเทพมหานคร

แม้จำเลยที่ 3 จะรู้จักจำเลยที่ 1 จากการแนะนำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเล่นกีฬาบาสเกตบอลด้วยกันรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 3 ได้ถามจำเลยที่ ว่ามาทำธุระอะไร จำเลยที่ 2 แจ้งว่าจะมาขนอาวุธ เมื่อถึงบริเวณหลักสี่แล้วจำเลยที่ 3 แจ้งเพียงเท่าที่จำเลยที่ 2 ต้องการให้ทราบ ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ล่วงรู้มาก่อนจำเลยที่ 1 เเละ 2 วางแผนลักลอบเอาอาวุธปืนออกมาหรือไม่อย่างไร แล้วไม่ปรากฎการโอนเงินมากไปกว่าที่ตกลงการจ้างเป็นเงิน 2 หมื่นบาท

พฤติการณ์เท่านี้จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ไว้ได้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ฐานสนับสนุนผู้อื่นพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และสนับสนุนให้ผู้อื่นมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต

จำเลยที่ 7 เป็นนายทหารมีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาวุธปืนทราบได้ว่าปืนที่ ลักมาเป็นปืนที่บุคคลธรรมดาไม่อาจครอบครองได้ จำเลยที่ 6 นำอาวุธปืนมาให้จำเลยที่ 7 ถอดแยกชิ้นส่วนโดยอ้างว่าเป็นปืนตัดจำหน่าย จำเลยที่ 7 นำปืนดังกล่าวมาแยกชิ้นส่วนติดสติกเกอร์เขียนเครื่องหมายกำกับไว้ในโครงปืนแล้ว ถ่ายภาพอาวุธปืนและลักษณะสติกเกอร์ที่มีตราหน่วยราชการกองบัญชาการ ต. ย่อมเป็นที่สังเกตของจำเลยที่ 7 ได้ง่ายล่วงรู้ได้ว่าเป็นอาวุธปีนจำเลยที่ 6 ได้มาโดยไม่ซอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 7 แยกชิ้นส่วนใส่ถุงดำแล้วนำใส่กล่องกระดาษไปให้จำเลยที่ 6 ที่บ้านพักอยู่ห่างจากบ้านพักจำเลยที่ 7 ประมาณ 10 กิโลเมตร และมีบุคคลมารับต่อไป ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 7ร่วมกันหรือจำหน่ายอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้

เมื่อพิเคราะห์ถึงเส้นทางการเงินแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 7 ได้รับเงินโอนเพียง 5 หมื่นบาทโดยที่ทางไต่สวนจำเลยที่ 6,7 เคยทำธุรกิจต่างๆ ต่อกัน จำนวนเงินที่อ้างว่ากู้ยืมเงินติดค้างกันมาจึงไม่ใช่ข้อพิรุธซึ่งผิดวิสัยว่าหากร่วมการลงทุนค้าขายอาวุธซึ่งมีความเสี่ยงสูงต้องได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่านี้ การกระทำของจำเลยที่ 7 เป็นเพียงความผิดฐานร่วมกันมีอวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฐานเป็นผู้ร่วมทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ ซึ่งอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นค้าหรือจำหน่ายอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่ข้างหรือทางสาธารณะไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรและร่วมกันมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนจำเลยที่ 9 ทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงระบุเส้นทางการเงินเกี่ยวพันจำเลยที่ 9 ทั้งไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนว่าจำเลยที่ 9 กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86,91,147157, 57,371 พรบ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ พรบฯอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปีน , พรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่องกำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ตามพรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4-6,8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 6ปี สองกระทงจำคุก12ปี การกระทำของจำเลยที่2,4,6,8 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 4 ปี สองกระทงจำคุกคนละ 8 ปี

จำเลยที่ 1,2,4-6,8 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันค้าหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปีนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบนุญาตให้ได้ ตาม พรบ.อาวุธปืนมาตรา 78 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 20 ปี

จำเลย 1,2-4,6 และ ๘กระทำผิดคนละสองกระทง จำคุกคนละ 40 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 กระทำผิด4กระทงจำคุก 80 ปีการกระทำจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตาม พรบ.อาวุธปืน มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 2 ปี สองกระทงรวมจำคุก 4ปี และการกระทำจำเลยที่7เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นค้า หรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบนุญาตให้ได้ ตาม พรบ.อาวุธปืนมาตรา 78วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 13ปี 4 เดือน สองกระทงจำคุก 26 ปี8เดือน

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4-8 ที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาต ตามพรบ.อาวุธปืน มาตรา 72ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 2ปี

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4,6-8กระทำผิดคนละสองกระทง จำคุกคนละ 4ปี จำเลยที่ 5กระทำผิดสี่กระทงจำคุก 8ปี การกระทำของจำเลยที่ 3เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนผู้อื่นให้พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาต ตาม พรบ.อาวุธปืน มาตรา 72ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 1ปี4เดือน สองกระทงจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 1รวม 56 ปี จำคุกจำเลยที่ 2,4,6,8 รวมคนละ 52ปี จำคุกจำเลยที่ 5รวม 96 ปี จำคุกจำเลยที่ 3รวม 6ปี 8เดือน จำคุกจำเลยที่ 7รวม 30ปี 8เดือน

จำเลยที่ 1-8 ให้การในชั้นซักถาม ชั้นสืบสวนและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 28ปี คงจำคุกจำเลยที่2,46,8 มีกำหนดคนละ 26ปี จำคุก

จำเลยที่ 3มีกำหนด 3ปี 4เดือน จำเลยที่ 5มีกำหนด 48ปี จำคุกจำเลยที่ 7มีกำหนด 15ปี 4เดือน และให้จำเลยที่ 1-8คืนอาวุธปืนเล็กยาวแบบเอ็ม 16เอ จำนวน 71กระบอก หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,483,900 บาทแก่ผู้เสียหาย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 9 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพิ่มโทษจำคุก 'เอก สายเต๊าะ' คดียิงปืนในหมู่บ้าน มีปืนไม่ได้รับใบอนุญาต

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่ามนมา ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.1412/2567 พนักงานอัยการ สำนักงานพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายเอกลักษณ์ ขุนพรหม

'สมยศ' กับพวกรวม 8 คน ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาช่วยเหลือคดีบอสอยู่วิทยา

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดสอบคำให้การ คดีที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมพวกรวม 8 คน เดินทางมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อสอบคำให้การตามนัดของศาล

สั่งจำคุก 3 ปี 4 เดือน 'สมหญิง บัวบุตร' อดีต สส.เพื่อไทย คดีสนามฟุตซอลฉาว

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.18/2565 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นางสมหญิง บัวบุตร อดีต สส.อำนาจเจริญ ,นายชินภัทร ภูมิรัตน ,

ยอมรับกังวลใจ! 'พล.ต.อ.สมยศ' กับพวกรวม 8 ราย พบอัยการส่งฟ้องคดีช่วยบอส อยู่วิทยา

นายสุเวช จอมพงค์ อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 นำสำนวนที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายเนตร นาคสุข อดีต รองอัยการสูงสุดกับพวกรวม 8 คน

เตรียมส่งตัว 'สมยศ-เนตร' กับพวก ฟ้องศาลคดีทุจริตฯ 29 ส.ค.นี้ คดีช่วยบอสอยู่วิทยา

นายวัชรินทร์ ภานุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผย ความคืบหน้าในคดีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ตร.)