15 ธ.ค.2566 - จากกรณี นายสมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยเหรียญทองกีฬาโอลิมปิกและอดีตผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น พรรคพลังประชารัฐ ถูกกล่าวหาฐานล่วงละเมิดทางเพศ ผู้หญิง อายุ 17 ปี กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่านายสมรักษ์ จะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ขณะที่นักกฎหมาย ได้เผยแพร่หลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา เรื่องพรากผู้เยาว์ ที่น่าสนใจ ดังนี้
หลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา เรื่องพรากผู้เยาว์
มาตรา 317 ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 300,000 บาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวเด็กซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 400,000 บาท
มาตรา 318 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 300,000 บาท
มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
มาตรา 321/1 การกระทำความผิดตามมาตรา 317 หากเป็นการกระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ห้ามอ้างความไม่รู้อายุของเด็กเพื่อให้พ้นจากความผิดนั้น
แนวคำพิพากษาฎีกา เรื่องพรากผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5176/2538
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 และ 279 ต้องกระทำแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เรื่องอายุของผู้เสียหายเป็นองค์ประกอบความผิดด้วย เมื่อผู้เสียหาย อายุ 14 ปี 5 เดือน แต่จำเลยสำคัญผิดว่าอายุ 18 ปี จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยไม่รู้จักผู้เสียหายมาก่อนก็ไม่มีข้อห้ามที่ไม่ให้จำเลยอ้างความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2539
จำเลยสำคัญผิดโดยเข้าใจว่าผู้เสียหายอายุ 17 ปี ย่อมมีผลให้จำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานนี้ ตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7820/2549
ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปและกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมนั้น จำเลยมิได้รับอนุญาตจากบิดามารดาและผู้ปกครองดูแลผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคหนึ่ง
การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ แม้ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 318 ก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556
เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2564
ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม กฎหมายบัญญัติโดยมีความมุ่งหมายที่จะคุ้มครองอำนาจของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ และปกป้องมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดอันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยาย ผู้เยาว์แม้จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังดูแลเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตลอดเวลาโดยไม่ขาดตอน ทั้งเป็นการลงโทษผู้ที่ละเมิดต่ออำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดคำว่า "พราก" โดยวิธีการอย่างใดและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายเข้าไปในที่เกิดเหตุโดยมีผู้ชักนำหรือไม่มีผู้ชักนำ หากมีผู้กระทำต่อผู้เยาว์ในทางเสื่อมเสียและเสียหายย่อมถือได้ว่าเป็นความผิด
การที่โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมที่ 1 ไปเล่นภายในบ้านของจำเลย ไม่ว่าโจทก์ร่วมที่ 2 จะเข้าไปเองหรือจำเลยชักชวนหรือพาเข้าไป เมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 ถูกจำเลยกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้อำนาจปกครองดูแลของโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาย่อมถูกตัดขาดพรากไปโดยปริยาย ถือได้ว่าเป็นการพาและแยกโจทก์ร่วมที่ 2 ไปจากความปกครองดูแล และล่วงละเมิดอำนาจปกครองของโจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา เป็นความหมายของคำว่าพรากแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 317 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4871/2564
จําเลยรับและให้ผู้เสียหายทั้งสองทํางานเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์บริการลูกค้า ลูกค้าที่ร่วมโต๊ะจะกอด จูบ ลูบ คลําตัวผู้เสียหายทั้งสอง ค่านั่งดริ๊งก์ชั่วโมงละ 120 บาท จําเลยหักไว้ 20 บาท จําเลยบอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า ได้ค่าตัว 1,500 บาท จําเลยหักไว้ 500 บาท และบอกให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกไปกับลูกค้าแต่ผู้เสียหายที่ 2 ปฏิเสธเนื่องจากมีประจำเดือน การกระทำของจำเลยทําให้อํานาจปกครองของ ท. และ ณ. ถูกรบกวน โดย ท. และ ณ. ไม่รู้เห็นยินยอม เป็นการพรากผู้เสียหายทั้งสองไปจากอํานาจปกครองเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2564
จำเลยที่ 1 ชักชวนและแนะนำผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังเป็นเด็กและผู้เยาว์ไปขายบริการทางเพศโดยผู้เสียหายที่ 1 สมัครใจและเดินทางไปขายบริการทางเพศด้วยตนเองให้แก่บุคคลที่จำเลยที่ 1 แนะนำ จากนั้นก็แบ่งเงินให้จำเลยที่ 1 บ้าง พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนต่อการใช้อำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ที่มีต่อผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ไม่ว่าผู้เสียหายที่ 1 จะอยู่ที่ใดและจะยินยอมหรือไม่ เมื่อเป็นการเสื่อมเสียต่อสวัสดิภาพหรือประโยชน์สุขของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพรากเด็กและพรากผู้เยาว์ไปเพื่อหากำไรและเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม และมาตรา 319 วรรคหนึ่ง
#แอดมินและคณะทำงานของ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ
""___ สมรักษ์ #อยู่ในจุดที่อันตรายมาก กล่าวคือ
(1) จะยอมรับสารภาพผิดก็ไม่ได้ #เพราะโทษหนักมาก ต่อให้รับสารภาพผิดก็อาจจะต้องถูกจำคุกอย่างแน่นอน
(2) แม้จะสู้ก็ยังเสี่ยงมากขึ้นไป #เพราะถ้าสู้แล้วไม่หลุด โทษจะยิ่งหนักมากๆ
ดูแล้วสมรักษ์น่าจะสู้ตามแนวฎีกาซึ่งศาลฎีกาวางหลักไว้ 2 เรื่องคือ
เรื่องที่ 1 . จะสู้ว่า #ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดก็ได้ ตามมาตรา 59 วรรคสามของ ประมวลกฎหมายอาญา
(เทียบ คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 7238/2549)
เรื่องที่ 2 . จะสู้ว่า #รู้ข้อเท็จจริงแต่สำคัญผิดในข้อเท็จจริงก็ได้ ตามมาตรา 62 ของ ประมวลกฎหมายอาญา
(เทียบ คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 3285/2562)
#ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็น_2_แนวทาง คือจำเลยจะต่อสู้ว่าไม่รวมข้อเท็จจริงก็ได้ หรือจำเลยจะต่อสู้ว่าสำคัญผิดในข้อเท็จจริงก็ได้ หรือจำเลยจะต่อสู้ทั้งสองกรณีไปพร้อมกันเลยก็ได้
#ข้อสังเกต การจะสู้ตามแนวฎีกานั้น #จะต้องพิจารณาให้ดี เพราะแนวฎีกาที่ศาลยกฟ้องเพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุของผู้เยาว์นั้น #ศาลวางหลักเกณฑ์ไว้ค่อนข้างเข้มงวด และ #จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุจริตจริงๆ ซึ่งจะต้องมี #เหตุผลที่หนักแน่นทำให้เชื่อได้เช่นนั้นจริงๆ
#และแนวฎีกาที่ศาลยกฟ้อง เพราะเหตุที่เชื่อว่าจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือสำคัญผิดในข้อเท็จจริงในเรื่องอายุของผู้เสียหาย #ในบริบทที่ไปพบผู้เสียหายในสถานบันเทิงนั้น ให้ดูแนวฎีกาดังกล่าวให้ดีๆว่าผู้เสียหายอยู่ในสถานะใด เช่น #ผู้เยาว์เป็นเป็นลูกจ้างของสถานบันเทิง หรือ #ผู้เยาว์เป็นลูกค้าของสถานบันเทิง
ซึ่งถ้าอ่านฎีกาแล้ว #อ่านไม่แตกฉานการสู้คดีก็จะไม่เป็นผล เพราะจะไม่เข้าใจเหตุผลของศาลที่แท้จริง _____""
#คดีโลกคดีธรรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาคปชช.งัดคำพิพากษา จี้ 'อธิบดีกรมที่ดิน' เพิกถอนสิทธิ์ 'ที่ดินเขากระโดง' ให้เป็นไปตามกฎหมาย
นายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ตัวแทนผู้ประสานงาน คณะราษฎรไทยแห่งชาติ (ครช.) และอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา(สว.) กลุ่ม 17 จ.นครปฐม ได้ยื่นหนังสือทักท้วง อธิบดีกรมที่ดิน กรณีที่ดินเขากระโดง ใช้อำนาจไม่เป็นไป ตามกฎหมาย ม.61 มีใจความว่า
'ดร.อาทิตย์' ข้องใจทำไม พระบรมราชโองการ-คำพิพากษาศาลฎีกา ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยรังสิต อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
'นิพิฏฐ์' กาง 3 ข้อชัดๆ ว่าแบบไหนขายตรงหรือฉ้อโกง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุงโพสต์เฟซบุ๊ก
ฝากขังลุงซื้อบริการสาว 16 ให้เสพเฮโรอีน ช็อกตายในห้องนอน
กรณีสาววัย 16 ปี เสียชีวิตปริศนาในห้องนอน และ พบว่ามีคราบเลือดที่จมูก ภายในบ้านพักหลังหนึ่ง หมู่บ้านลัลลี่วิลล์ ตำบลแพรกษาใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
ไม่ได้โม้! สมรักษ์มั่นใจบริสุทธิ์คดีพรากผู้เยาว์
'สมรักษ์' ไม่กังวลขึ้นศาลคดีพรากผู้เยาว์17ปี หลังศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานครั้งแรก เจ้าตัวย้ำชัด ไม่วิตกกังวล มั่นใจพยานหลักฐานในความบริสุทธิ์
อดีตอัยการสูงสุดงัดคำพิพากษาศาลฎีกาตบหน้าพวกอยากร้องขอความเป็นธรรมไปเรื่อยๆ
นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ