‘วัชรินทร์’ รองอธิบดีอัยการ หัวหน้าชุดกำกับสอบสวน คดี 140 ล้าน แจง ‘ผบ.ตร.’ เซ็นตั้ง ‘อัคราเดช พิมลศรี’ หน.ชุดพนักงานสอบสวนคนใหม่ เเทน ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอศึกษาคดี 2 สัปดาห์ ก่อนนัดถกอัยการ
8 ธ.ค. 2566 – นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน คดี 140 ล้าน เเละรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีว่า เนื่องจากคดีนี้เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ซึ่งพนักงานอัยการต้องเข้าร่วมการสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกฎหมาย ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะพนักงานอัยการเพื่อกำกับดูแลคดีนี้แล้ว ขณะที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เดิมทีมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ ได้เปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไปแล้วในวาระการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งในการประชุมร่วมครั้งที่เเล้ว พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาราชการเเทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน นำทีมตำรวจเข้าร่วมประชุม
โดยขณะนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนชุดใหม่เเละทีมพนักงานสอบสวนชุดใหม่มากำกับดูแลคดีนี้ต่อไป โดยให้เหตุไว้ว่าเนื่องจากมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ2566 มีผลทำให้ตำแหน่งของผู้มีชื่อในคำสั่งบางตำแหน่งเปลี่ยนแปลงไป ข้าราชการตำรวจเกษียณอายุราชการ และมีเหตุจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชน คดีเกี่ยวพันกันหลายท้องที่มีความยุ่งยากสลับขับซ้อนในการสืบสวนสอบสวน เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
จึงตั้ง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน เเละมีรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน ประกอบด้วย พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ,พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 , พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นรองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน , พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, พล.ต.ต. ฉัตรชัย สุรเชษฐ์พงษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2, พล.ต.ต.มานะ อินพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2, พล.ต.ต. สุเมฆ บวรเศวตฉัตร รองจเรตำรวจ, พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี , พล.ต.ต. วรชาติ แสนคำ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1, พล.ต.ต. ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 โดยมีผกก.เเละรอง ผกก.สภ.อ.คูคตเป็นเลขานุการ เเละรองเลขานุการ พร้อมด้วย ทีมงานพนักงานสอบสวนที่มาจาก กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 19 คน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจำนวน 20 คน เเละพนักงานสอบสวนในพื้นที่อีก 14 คน
โดยมีอำนาจหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตาม ป.วิ อาญา ทำการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาในความผิดดังกล่าว รวมทั้งความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และหากการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีผู้อื่นร่วมกระทำความผิดหรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกัน ก็ให้มี อำนาจสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดนั้น ๆ แล้วรายงานผลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ
ทั้งนี้ จากการประสานงานกับทางพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจซึ่งเป็นชุดใหม่ ได้เเจ้งว่า ทางพนักงานสอบสวนจะขอเวลาศึกษาข้อมูลคดีในสำนวนอย่างละเอียด ก่อนที่จะนัดประชุมร่วมกับคณะพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน คาดว่าประมาณ 2 สัปดาห์ จะมีการประชุมความคืบหน้ากันต่อไป.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีการกล่าวหา พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ กับพวกรวม 10 ราย ตลอดจนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ในข้อกล่าวหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอม จะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ,เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ,ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ,ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ,และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีไปจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน แล้วนำตัวไปรีดเงิน 140 ล้านบาท เพื่อแลกกับการเคลียคดี จนมีวลีเด็ดว่า “เป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา” แต่ภายหลังกลุ่มผู้ต้องสงสัยไม่พอใจกับพฤติกรรมของตำรวจชุดจับกุม จึงได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.คูคต จังหวัดปทุมธานี เพื่อดำเนินคดีกับตำรวจชุดดังกล่าว ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณา และต่อมา ป.ป.ช. ก็มีคำสั่งให้ส่งสำนวนกลับมาให้ชุดพนักงานสอบสวนทำคดีต่อ
ซึ่งคดีดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จะต้องมีพนักงานอัยการเข้าไปร่วมสอบสวนกับตำรวจในชั้นสอบสวนด้วย ซึ่งเดิมทีเป็นอำนาจของสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี แต่เนื่องด้วยมีการเกิดเหตุในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี และเชียงราย ทางสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี จึงทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด ว่าเห็นควรให้ทำคดีนี้อย่างไร ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งให้สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ทำคดีร่วมสอบสวนกับตำรวจ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานทำสำนวนเสนอไปยังอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตฯ พิจารณา.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สุดหวาดเสียว! คนร้ายโปรยตะปูเรือใบเกลื่อนถนน ตร.เร่งล่าตัว
เพจเฟซบุ๊ก “พีอาร์ยางยนต์ 99 จำหน่าย ยางรถยนต์ ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ปะยาง 24 ชม.” ตั้งอยู่ถนนกะโรม ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้โพสต์การออกไปให้บริการปะเปลี่ยนยางลอรถยนต์นอกสถานที่
‘บิ๊กต่าย’ ลั่นแต่งตั้ง ‘นายพล’ ยึดหลักเกณฑ์-ข้อกฎหมาย หลังลือสะพัดตั๋วเด็กฝากอื้อ
รั้วปทุมวันฝุ่นตลบหนัก หลังลือโผนายพลรอบสุดท้าย140 ตำแหน่ง สารพัดตั๋วลุ้นวิ่งเข้าวิน รอนายกฯอิงค์-ก.ตร.ไฟเขียว 9 ม.ค.
ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล
ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?
ปธ.กมธ.ตำรวจ จี้ ผบ.ตร. สอบด่วน! หลักสูตรอบรมตำรวจจีนเทา ท้าทายกฎหมายไทย
นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ตร.) กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวการจัดอบรมอาสาสมัครตำรวจต่างชาติคนจีน โดยมีการเก็บเงินค่าอบรม 38,000 บาทต่อคน
นครบาล ระดมตำรวจ 4 พันนาย ดูแลความปลอดภัย 6 จุดเคาท์ดาวน์ทั่วกรุง
บช.น.มีความห่วงใยประชาชนจัดกำลังตำรวจ กว่า 4,000 นาย พร้อมติดตั้งกล้อง Face Recognition Camera 30 ตัว ดูแลความปลอดภัย ใน 6 จุดสำคัญจัดงานเคาท์ดาวน์ทั่วกรุงเทพฯ