22 มิ.ย.2566 - ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.2 บก.ปอท. แถลงข่าวร่วมกันจับกุม นาย เถิง จวิ้น สัญชาติจีน หัวหน้าเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมด้วยเครือข่ายรวม 11 คน โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”
สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงประมาณต้นปี พ.ศ.2566 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการร้องเรียนจากทางสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้นำชื่อสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปแอบอ้างด้วยการเปิดเว็บไซต์หลอกลวงประชาชนให้นำเงินมาลงทุนในหุ้นทองคำ โดยใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า Royal Gold (https://sh.capital868.com/main/home) ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุนกับกลุ่มมิจฉาชีพเป็นจำนวนมาก โดยจากการตรวจสอบ ตั้งแต่ มกราคม ถึง พฤษภาคม 2566 พบมีผู้เสียหายหลงเชื่อกว่า 2,000 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 500 ล้านบาท
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รับผิดชอบสืบสวนและติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เป็นผู้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
จากการสืบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พบว่ากลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอกลวงโดยใช้บัญชีเฟซบุ๊กปลอมเป็นหญิงสาวหน้าตาดี ติดต่อเข้ามาพูดคุยกับผู้เสียหาย ตีสนิทด้วยการพูดคุยในลักษณะเชิงชู้สาว ก่อนจะชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในหุ้นทองคำผ่านเว็บไซต์ Royal Gold (เว็บไซต์ปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมา มีลักษณะคล้ายเว็บไซต์เทรดหุ้น มีกราฟแสดงมูลค่าของหุ้นตลอดเวลา) นอกจากนี้มีการแอบอ้างว่าเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นเว็บไซต์ลงทุนในหุ้นทองคำที่เกี่ยวข้องกับสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ซึ่งในช่วงแรก มิจฉาชีพจะชักชวนให้ผู้เสียหายนำเงินมาทดลองลงทุน โดยจะให้ผู้เสียหายโอนเงินลงทุนไปยังบัญชีม้าที่เปิดเตรียมไว้ หลังจากลงทุนไปสักระยะเวลาหนึ่ง มิจฉาชีพจะคืนเงินต้น และให้ผลตอบแทนในการลงทุน (คิดเป็น 10% ของเงินลงทุน) จึงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวได้รับผลตอบแทนจริง อีกทั้งในเว็บไซต์ดังกล่าวมีการแสดงยอดเงินลงทุนและผลตอบแทนให้เห็นตรงตามกับจำนวนเงินที่ผู้เสียหายลงทุนไป จึงยิ่งทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินมาลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่ภายหลังเมื่อผู้เสียหายต้องการจะถอนเงินออกจากเว็บไซต์ มิจฉาชีพจะหลอกให้ผู้เสียหายเสียค่าดำเนินการและเสียภาษีก่อน โดยเมื่อผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มตามจำนวนที่มิจฉาชีพแจ้งแล้ว มิจฉาชีพจะบล็อกช่องทางการติดต่อ ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อกับมิจฉาชีพได้อีก
จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีม้าตามที่มิจฉาชีพกล่าวอ้างแล้ว เงินทั้งหมดจะถูกนำไปซื้อเหรียญดิจิทัล (Cryptocurrency) ในสกุล USDT จากพ่อค้าคนกลาง หลังจากนั้นจะมีการโอนเหรียญดิจิทัลดังกล่าวเข้าไปยังกระเป๋าวอลเล็ตม้า (กระเป๋าดิจิทัลที่ถูกว่าจ้างให้เปิด) ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินในรูปแบบเหรียญดิจิทัล โดยเป็นการยักย้ายถ่ายเทเหรียญคริปโตในเครือข่ายกระเป๋าเหรียญดิจิทัลที่มีมากกว่าร้อยกระเป๋า แต่ท้ายที่สุดก็พบว่าคนร้ายมีการโอนเหรียญดิจิทัลทั้งหมดไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลของกลุ่มผู้บริหารเครือข่ายชาวจีนที่รับหน้าที่ฟอกเงิน โดยการนำเหรียญดิจิทัลที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปขายแลกกลับมาเป็นเงินบาทไทย ก่อนจะนำเงินที่ได้มาไปส่งมอบให้กับหัวหน้าเครือข่าย
ซึ่งรูปแบบการกระทำความผิดของกลุ่มมิจฉาชีพ พบว่าเป็นการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ มีแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะแบ่งเป็น 1. หัวหน้า ทำหน้าที่ สั่งการ,2. กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ ติดต่อพูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, 3.กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าม้า รวบรวมบัญชีต่างๆ นำไปมอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ 4.กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล 5. กลุ่มที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน แลกเปลี่ยนเงิน รวมถึงทำหน้าที่รับโอนเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงเพื่อนำไปซื้อเหรียญดิจิทัล และขายเหรียญดิจิทัลเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทยและจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มคนที่รับจ้างเปิดบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท โดยกลุ่มผู้จัดหาและว่าจ้างจะเตรียมโทรศัพท์พร้อมซิมการ์ดมาให้กลุ่มผู้รับจ้างทำการยืนยันตัวตน (KYC) เพื่อเปิดบัญชีธนาคารพร้อมกับกระเป๋าแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล (Wallet) หลังจากนั้นจะรวบรวมบัญชีม้าพร้อมโทรศัพท์มือถือที่ผูกกับกระเป๋าม้านำไปส่งให้กับนายทุนที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ที่ สปป.ลาว
จากข้อมูลในการสืบสวนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการรวบรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ โดยในวันที่ 13 มิถุนายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุม ผู้ร่วมขบวนการใน กลุ่มของผู้จัดหาและรวบรวมบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า, กลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 8 ราย และหลังจากนั้น วันที่ 20 มิถุนายน 2566 มีการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 3 ราย เป็น หัวหน้าเครือข่าย, ผู้บริหารดูแลเรื่องฟอกเงิน และผู้รวบรวมบัญชี รวมผู้ต้องหาที่จับกุมได้ทั้งสิ้น 11 ราย จากนั้นได้มีการนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้น หนึ่งในผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่จัดหาและรวบรวมบัญชีม้า ให้การรับว่าตนเองได้รับการว่าจ้างมาจากนายทุนชาวจีน ว่าจ้างให้รวบรวมบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้าของคนไทย และให้นำไปส่งมอบให้กับชาวจีนที่อยู่ในพื้นที่ของบ่อนคาสิโนคิงส์โรมัน ฝั่ง สปป.ลาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานปฏิบัติการ โดยตนจะได้รับค่าจ้างประมาณ 10,000 บาท ต่อบัญชี ซึ่งสาเหตุที่ตนรับจ้างทำงานในลักษณะนี้ เนื่องจากตนเองมีหนี้สินที่เกิดจากการเล่นพนันในบ่อนคาสิโนคิงส์โรมัน และนายทุนชาวจีนดังกล่าวเป็นคนภายในบ่อนคาสิโน ตนจึงถูกบังคับให้จัดหาและรวบรวมบัญชีม้ามาให้เพื่อใช้หนี้การพนัน
จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวนหลายรายการ อาทิเช่น รถยนต์หรู จำนวน 3 คัน, เงินสด รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท, สร้อยคอทองคำ แหวน กว่า 30 รายการ, นาฬิกาหรู และกระเป๋าแบรนเนมด์, คอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ, ซิมการ์ด, สมุดบัญชีธนาคาร และใบรับประกันทอง จำนวนหลายรายการและจากการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่ได้ตรวจยึดมา พบว่า มีกลุ่ม Telegram ซึ่งเป็นกลุ่ม Scammer จะมีการส่งภาพถ่าย หญิงสาวหน้าตาดี, ภาพอาหารราคาแพง, ภาพวาบหวิวของหญิงสาว และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพื่อใช้ในการหลอกลวงเหยื่อให้ตกหลุมรัก
อีกทั้งยังมีบทสนทนาที่เตรียมไว้พูดคุยกับเหยื่อ และตารางสรุปยอดที่เหยื่อหลงเชื่อและสนใจเข้ามาลงทุน ไปจนถึงจำนวนเหยื่อที่เข้ามาลงทุนในเว็ปไซต์ และยังมีหนึ่งในผู้ต้องหา รับว่าใบรับประกันทองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดมา เป็นการซื้อทองคำ เพื่อนำไปมอบเป็นรางวัลโบนัสให้กับพนักงานที่สามารถหลอกลวงเหยื่อให้เข้ามาลงทุนในเว็บไซต์ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม สกัดมิจฉาชีพโทร-ส่งข้อความหลอกลวง คาดพร้อมใช้ต้นปี 68
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
ตร. แถลงจับจีนเทาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เช่าเบอร์โทร 02 นับหมื่นเลขหมาย โทรหลอกกว่า 700 ล้านครั้ง
พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” 2 ปฏิบัติการ จับแก๊งจีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง
ตำรวจรวบ 'ครู NEWtsbs' ติวเตอร์ชื่อดังย่านสีลม
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. ,พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น.
คุก! ศาลไม่ให้ประกัน 'เมียตั้ม ษิทรา' หวั่นหลบหนี
ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหา ฉ้
เผยแจ้งความออนไลน์ 1 มี.ค 65 - 31 ต.ค. 67 เฉลี่ยเสียหายวันละ 7.7 ล้านบาท
'รองโฆษกรัฐบาล' เผยสถิติแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่ 1 มี.ค 65 – 31 ต.ค.67 มูลค่าความเสียหายรวม 7.48 หมื่นล้านบาท เฉลี่ย 77 ล้านบาทต่อวัน
'ทนายตั้ม' โผล่ฉายหนังคนละม้วน อ้างปมเงิน 39 ล้านค่าศิลปินจีน เป็นมิจฉาชีพหลอก 'เจ๊อ้อย'
ที่กองบังคับการปราบปราม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" เข้าพบพนักงานสอบสวน ที่ถูกน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เ