‘ชูวิทย์’ ซัดกลับ ‘ทนายตั้ม’ ส่อหมิ่นประมาทเรียกคดีละ 100 ล้าน

ขอบคุณภาพFB:Pplej Psw

‘ชูวิทย์’ควง’อนันต์ชัย’ขึ้นศาล เเถลงข่าวซัดกลับตั้ม ส่อผิดหมิ่นประมาทเล็งเรียกคดีละ100 ล้าน เตรียมร้องมรรยาททนายความ โทษหนักถอดใบอนุญาต ขู่ดำเนินคดีโฆษกตร.-ปปง.ให้สัมภาษณ์ว่าเสี่ยอ่างสุ่มเสี่ยงฟอกเงิน

27 มี.ค.2566-ที่ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง ในคดีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดังยื่นฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในข้อหาแจ้งความเท็จ อันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาที่มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น , สร้างพยานหลักฐานเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา นอกจากนี้ยังฟ้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท จากกรณีที่นายสันธนะ กล่าวหาว่าที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิงค์ ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตยของบุตรชายนายชูวิทย์ เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดของนักเที่ยว มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จโดยการแอบถ่ายและนำคลิปวิดีโอไปแจ้งความกับตำรวจ สน.ทองหล่อ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงแรมและนายชูวิทย์เสื่อมเสีย วันนี้ถึงมายื่นฟ้องนายสันธนะ โดยมี บริษัท ต้นตระกูล จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 และมีนายชูวิทย์ เป็นโจทก์ที่ 2

วันนี้นายชูวิทย์ จะเดินทางมากับนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ซึ่งนัดนี้เป็นการไต่สวนมูลฟ้องครั้งที่2

นายอนันต์ชัย ระบุว่า ที่ผ่านมาตนไปทำบุญมา วันนี้จึงขอเอาบุญมาฝากแต่ไม่มีการสาปแช่งซึ่งการสาปแช่งเป็นอวิชา การเข้าวัดต้องมีจิตเมตตา วันนี้ขอพูดข้อกฏหมายในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326,328 ,พรบ.ทนายความ 2528ข้องบังคับทนายความ 2529, เเละ พรบ.ฟอกเงินฯข้อกฎหมายเหล่านี้ทีมงานได้รวบรวมมาเพื่อให้ความเห็นให้ประชาชนทราบข้อกฎหมายที่เเท้จริงเเละเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ  หลังจากนี้นายชูวิทย์ก็จะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เเล้ว ไม่ใช่นายชูวิทย์กลัวนะ เเต่ตนในฐานะทนายความเเนะนำไว้ เพราะหากนายษิทรา ให้สัมภาษณ์พาดพิงนายชูวิทย์อีกจะโดนดำเนินคดีอาญาเเละเเพ่ง เรียก100 ล้านบาทต่อครั้ง

การเรียกเงินค่าเเถลงข่าว3เเสนบาทนั้นตนมองว่าถ้าการเเถลงข่าวเป็นประโยชน์เเละเป็นความจริง เเล้วลูกความได้รับความเป็นธรรมในเเง่มุมของตนเองไม่ผิด เเต่การที่อ้างว่าเป็นทนายเพื่อประชาชน เเต่ไปเรียกเงินประชาชนมันก็ไม่ถูก เรื่องนี้ต้องดูเป็นกรณีไป เรื่องนี้ตนไม่นำมาโจมตีกัน ทนายษิทรากับตนไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองเจอก็คุยกัน เพียงเเต่ตนเป็นทนายความของนายชูวิทย์ อยากฝากบอกถึงนายษิทราว่ากระบวนการที่เราทำงานคือบนศาลว่าความกันบนศาล ไม่ใช่บนโซเชียล ที่ให้ลูกความไม่ต้องพูดไม่ใช่เพราะกลัว เเต่ตามไสตล์ของตนคือให้สัมภาษณ์ทีเดียวเเละไม่พูดอีก ไปเจอกันในศาลทีเดียว ไม่ใช่พูดรายวัน

ส่วนเรื่องถุงเงินหรือการรับเงินที่นายษิทราระบุ ต้องอย่าลืมว่าคดีอาญานั้นใช้ประจักษ์พยานเป็นหลัก ไม่ใช่ดูพยานเเวดล้อมหรือพยานบอกเล่า สิ่งที่นายษิทราพูดคือพยานบอกเล่า พูดเเต่ว่า “เขาว่า เขาว่า” ซึ่งต้องฟังด้วยความระมัดระวัง คดีนี้นายษิทราก็ไม่มีส่วนได้เสีย อยากให้คิดตามว่าหากเจอกันในศาลจะโดนซักค้านอย่างไร สิ่งเหล่านี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ อยากฝากบอกนายษิทราว่าถ้าไม่ใช่ผู้เสียหาย เเล้วเป็นเพียงพยานบอกเล่าต่อไปนี้หากหยิบยกเอกสารอะไรขึ้นมาพูดอีกนายชูวิทย์จะฟ้องครั้งละ100 ล้านบาท ตนไม่อยากให้วิชาชีพทนายความเสียหายเพราะทนายความต้องว่าความในศาลไม่ใช่โซเชียลฯ

“ยกตัวอย่างเช่น ผมโกงเขามา5ล้านนักข่าวเอาไปเขียนว่าผมโกง10ล้าน ถือเป็นหมิ่นประมาท เรื่องส่วนตัวยิ่งจริงยิ่งผิด คิดง่ายๆเลยผมโกงจริง เเต่โกงเเค่5ล้านเเต่คุณพิสูจน์ไม่ได้ว่าอีก5ล้านผมเป็นคนโกง เราค้องยืนบนพยานหลักฐาน สิ่งที่ทนายตั้มพูดทั้ง2ครั้งมีข้อความหมิ่นประมาท20กว่าจุดเเละยืนยันข้อเท็จจริง เขาบอก3 คุณบอก5 เขาบอก6คุณบอก10 สิ่งนี้จะทำให้คุณเหนื่อย ผมกำลังถอดเทป เเต่นักข่าวไม่ต้องกลัวผมไม่ฟ้องนักข่าว”

นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ตนทราบมาว่าตอนนี้มีการร้องมรรยาททนายความเกี่ยวกับนายษิทราจำนวนหลายคดี ที่เป็นปัญหาอยู่คือคดีของอดีตรองนายกฯ ซึ่งคดีนี้ตนเสียใจมากเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องส่วนรวม ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ที่นายษิทราพูดประโยคหนึ่งในครั้งนั้นว่านายชูวิทย์โทรไปหานายษิทราเเละขอร้อง ตนถามนายชูวิทย์เเล้วทราบว่าเป็นการโทรไปเพียงเเต่บอกให้นายษิทราดูให้ดีเพราะข้อเท็จจริงของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แบบที่เป็นข่าว

นายอนันต์ชัยกล่าวว่า กรณีการรับเงิน 6 ล้านหรือ10 ล้านหรือกระทั่ง 50 ล้านที่ถูกระบุว่าเป็นเงินดิจิตัล เเล้วมีการให้สัมภาษณ์ ซึ่งนายชูวิทย์ถามมายังตนการกระทำดังกล่าวของนายษิทราทำถูกหรือไม่ ซึ่งตนเเจ้งว่าไม่สามารถตอบได้ เเต่มาตราฐานตนคือ จะไม่วิจารณ์คดีใคร ไม่ก้าวก่ายงานใคร เเละไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยสาธารณะ เเละถ้าไม่ใช่ลูกความก็จะไม่เเถลงข่าวเพราะเป็นการผิดมรรยาททนายความเเต่วันนี้ตนขอเเถลง3 ประเด็น

1.เรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326,328 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงนายชูวิทย์ตีเเผ่เปิดโปง ทุจริตคอรัปชั่น เเล้วมีบุคคลมาเเถลงข่าวโดยที่ไม่มีส่วนได้เสียเเละไม่ใช่ประจักษ์พยาน  ในศาลถ้าไม่ใช่ประจักษ์พยานเป็นพยานบอกเล่าศาลจะไม่รับฟัง ยกเว้นพยานหลักฐานเเวดล้อมใกล้เคียงสอดคล้องกัน เเต่การไปกล่าวหานายชูวิทย์เเละลูกชายไปรับเงิน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวยิ่งจริงยิ่งผิด อย่างเรื่องถุงที่ถ่ายถุง เพราะได้เอาไว้เเบล็คเมล์ ซึ่งเป็นการเริ่มจัดฉากว่าหากวันหนึ่งนายชูวิทย์ไม่ยอมจะถูกเปิดเผยขึ้นมา เเต่การรับเงิน6ล้านหรือ10ล้านมีพยานหลักฐานหรือไม่ เรียกว่ามันไม่ มีเเต่ภาพถ่ายถุงเงินก่อน ซึ่งหากเงินอาจจะถูกยักระหว่างทางได้ ในการซักพยานหากมาเเบบนี้ ตนซักค้านพยานหลักฐานเอาตายเลย  การพูสูจน์ต้องพิสูจน์ในศาล

2.เรื่องมรรยาททนายการที่ นายษิทราเป็นบุคคลผู้มีวิชาชีพทนายความมีการแถลงข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ข้อบังคับของสภาทนายความที่ระบุว่าการกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องกันอันเป็นการหามูลไม่ได้มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ เเละต่อไปนายชูวิทย์ก็จะต้องไปร้องสภาทนายความ เราชาวทนายความทั้งหมดรู้สึกว่าการกระทำเเบบนี้ไม่ถูกต้อง การกระทำดังกล่าวน่าจะผิดมรรยาท

3.เรื่องสุดท้ายอยากฝากเรียนโฆษกสำนักงานตำรวจ เเห่งชาติและปปง.ว่าที่ออกมาระบุว่าสุ่มเสี่ยงฟอกเงินอยากบอกว่า นายชูวิทย์ไม่เหมือนมังกรฟ้า ที่ครั้งนั้นตนเป็นทนายความให้เเละให้สัมภาษณ์ว่าจะฟ้องกลับตั้งเเต่ตำรวจไปยันรมต.ดิจิตัล รวม14 คนเเต่ลูกความไม่ฟ้องตนเลยเสียหมา เเต่สำหรับนายชูวิทย์ไม่ใช่ ถ้าตนบอกนายชูวิทย์ฟ้องเลยมาตรา 157 เเละ200  ควรจะพูดว่าค้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนไม่ใช่สุ่มเสี่ยง คุณเป็นตำรวจอย่ามาเล่นกับตนนายชูวิทย์เอาจริง เเละคุณจะเดือดร้อน

ในเรื่อง พรบ.ปราบปรามการฟอกเงินที่มีโทษอาญานั้นจะต้องมีการกระทำโดยมีเจตนาโดยรู้ว่าเงินหรือทรัพย์สินได้มาจากการกระทำผิดมูลฐาน เเละต้องรับโอนซุกซ่อนปกปิดเเหล่งที่มา หรือทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยสกับการกระทำผิดตามมาตรา 5 เเต่ข้อเท็จจริงคดีนี้นายชูวิทย์ไม่รู้ เเละไม่มีเหตุอันควรจะรู้เพราะทรัพย์สินที่ได้มาเป็นเงินที่ได้จากการพนันเเละกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่ เเต่นายชูวิทย์ไม่รู้เเละเอาไปทำบุญ ส่วนที่ระบุว่าทำไมไม่บอกกับโรงพยาบาลว่าเป็นเงินสารวัตรซัว ตรงนี้จะไปบอกได้อย่างไรเพราะเป็นเรื่องภายในที่ว่าไม่ฟ้องนาย ไม่ข่ายเพื่อนธุรกิจเป็นเเบบนี้ตนเป็นคนสีขาว นายชูวิทย์คนสีเทาเข้าใจดีมากกว่าตน เเต่สิ่งที่บอกมาคือนายชูวิทย์ขาดเจตนา เเต่ตรงข้ามคือนายษิทราที่รับุว่าจะไปเเจ้งดำเนินคดี รวมทั้งไปยัง ปปง.ซึ่งเเสดงว่านายษิทรายอมรับว่าเงินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิด เเละบุคคลที่ส่งเงินเป็นผู้ครบองค์ประกอบการกระทำความผิด ที่วันนี้มีข่าวว่านายอัจฉริยะ ไปเเจ้งความดำเนินคดีถือว่าถูกต้อง เเต่นายษิทราเเทนที่จะไปดำเนินคดีคนเอาเงินมาให้

ด้านนายชูวิทย์ เปิดเผยว่า การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมาย เมื่อมีคนเดือดร้อนเงินเขาถ้าไปคิดเงินเขาตอนแถลงข่าว 3 แสนบาท มันไม่มีโจทก์ไม่มี มันไม่มีโจทก์ไม่มีจำเลย ตัวเองก็ไม่มีหลักฐานนั่นแปลว่าคุณพูดฝ่ายเดียวหรือไม่ ตนไม่คิดว่าทนายความจะคิดเงินค่าแถลงข่าว ดังนั้นสภาทนายความหรือสื่อมวลชนควรจะพิจารณา

อีกทั้งการเป็นทนายความต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้หลักฐาน ใช้พยานแต่ปรากฏว่าฝ่ายอีกฝ่ายใช้การแถลงข่าวนั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ โดยอย่างยิ่งบอกว่าตัวเองเป็นทนายประชาชน ส่วนเงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาท ที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้จะเอาไปให้ใคร ตอนนี้มีกระบวนการพยายามที่จะมาปิดปากตนเอง มีทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมาผมก็จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย ผมพร้อมสู้ทุกทางเวลาสู้ก็จะไม่ค่อยเหมือนกัน ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบประกาศ กูไม่กลัวมึง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สนธิ' ร้องเรียนสภาทนายความ สอบมรรยาท 'ทนายษิทธา-ทนายเดชา'

ที่สภาทนายความ ถ.พหลโยธิน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอร์ค, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อม

ก้าวไกลแพ้! ศาลยกฟ้อง 'ณฐพร โตประยูร' แจ้งเท็จ-หมิ่น ล้มล้างการปกครอง

ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.308/2564 ที่พรรคก้าวไกล เป็นโจทก์ฟ้องนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ,หมิ่นประมาทฯพร้อมเรียกค่าเสียหาย 20,062,475บาท   

ตร. เรียก 'เจ๊อ้อย' ให้ข้อมูลเพิ่ม 2 คดี 'ทนายตั้ม' วางแผนเป็นผู้จัดการมรดก-เงิน 39 ล้าน

พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีฉ้อโกงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย จำนวน 39 ล้านบาท ว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปมาก สอบปากคำพยานบุคคลต่างๆไปแล้วจำนวนหลายปาก รวมถึงสืบพบพยานหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมหลายอย่าง

ชาวบ้านเกาะเต่า ร้องผู้ตรวจฯ ชงศาลปค. เพิกถอนกฎกระทรวงห้ามออกโฉนดบนเกาะ

นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วยชาวบ้านเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบและมีความเห็นเสนอต่