บุกค้น 25 จุด ยึดทรัพย์แก๊งฉ้อโกงสหกรณ์พัทลุงเพิ่ม 309 ล้าน สั่งฟ้อง 26 ราย

13 ก.ย.2565 - ที่ สภ.เมืองพัทลุง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.สุรเชษฐ์ หักพลาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมเจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการตรวจยึดทรัพย์ จากขบวนการทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์ จ.พัทลุง มูลค่าความเสียหาย 1,500 ล้านบาท หลังนำกำลังเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีก 25 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี, นครศรีธรรมราช, ตรัง และพัทลุง สามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้เพิ่มเติม ประกอบไปด้วย บ้าน จำนวน 7 หลัง โฉนดที่ดิน 5 แปลง ,ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 5 จุด ,ที่ดินตามโฉนดที่ดิน จำนวน 18 จุด ,อายัดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 52,311,640 บาทรวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกยึดอายัดในคราวนี้ 309,311,640 บาท

ทั้งนี้สืบเนื่องจากวันที่ 24 ม.ค.65 ที่ผ่านมา กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นสมาชิกสหกรณ์จังหวัดพัทลุง ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ช่วยติดตามคดีการทุจริตภายในสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดพัทลุง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัวที่เป็นสมาชิกได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก และคดีนี้ยังมีความสลับซับซ้อน แม้มีเจ้าหน้าที่หลายคนถูกพบว่ากระทำผิด แต่ยังสามารถทำงานในสหกรณ์ได้ ซึ่งอาจทำให้พยานหลักฐานต่างๆ สูญหายหรือถูกแก้ไขไปอีก ความเสียหายโดยรวมมีมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.เร่งสืบสวนและสอบสวนคดีที่เกิดขึ้น และได้ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 293/2565 ลงวันที่ 22 มิ.ย.65 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าว มีอำนาจในการสืบสวนคดีร่วมกันทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์พัทลุง จำกัด โดยประสานความร่วมมือกับ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง เลขา ป.ป.ง., พ.ต.ท.ธีรพงษ์ ดุลยวิจารณ์ ผอ.คด.4 ปปง., นางชลธิชา ดาวเรือง ผอ.คด.3 ปปง. เจ้าหน้าที่ ปปง. เพื่อเร่งคลี่คลายคดีและติดตามทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายกลับคืนให้กลุ่มผู้เสียหายและดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหาในความผิดฐานฟอกเงิน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.เผยว่า พฤติการณ์ในคดี กล่าวคือ เมื่อปี พ.ศ.2563 ทางสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจพัทลุง จำกัด ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้จัดการสหกรณ์ , คณะกรรมการดำเนินการชุดใหม่ และได้จัดให้มีการตรวจสอบหลักฐานทางบัญชีของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจพัทลุง พบความผิดปกติทางบัญชี การเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทุจริตของคณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการเจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอก จึงได้มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจากการสอบสวนพยานบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏพบผู้ต้องหากับพวก ซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินการ ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจพัทลุง จำกัด และบุคคลภายนอก มีพฤติการณ์ร่วมกัน ตกลง วางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ กระทำความผิดหลายกรรมหลายวาระต่างกัน เป็นเวลาต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 จนถึงปี พ.ศ.2563 โดยมีรูปแบบการกระทำความผิดและวิธีการ มากกว่า 10 วิธีการ เช่น การตกแต่งบัญชีของสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิก การตกแต่งบัญชีลูกหนี้และลูกหนี้ที่ไม่มีตัวตน หรือตกแต่งบัญชีเกินความเป็นจริง การปลอมใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,489,572,427.14 บาท

ในคดีนี้ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 27 ราย แบ่งเป็น เป็นผู้จัดการและเจ้าหน้าที่สหกรณ์ฯ จำนวน 12 ราย ,เป็นข้าราชการตำรวจ อยู่ในราชการ จำนวน 6 ราย ขณะกระทำความผิดมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ รองประธาน และเหรัญญิก ซึ่งมีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเช็ค (คดีอาญา) ประกอบด้วย ร.ต.ต.พันธ์ชัยฯ รอง สว.(ป) สภ.เมืองพัทลุง ,พ.ต.ท.วิเชียรฯ สว.กก.2 บก.ส.1,ด.ต.ชุณฐกฤตม์ฯ รอง สว.กก.สส.ภ.จว.พัทลุง,ร.ต.อ.ธนเวทย์ฯ รอง สว.กก.สส.ภ.จว.พัทลุง,ร.ต.ท.หญิง อรุชาฯ รอง สว.ธุรการ สภ.โคกชะงาย และด.ต.สุทัศน์ฯ ผบ.หมู่ ป.สภ.ควนขนุน และอดีตข้าราชการตำรวจ เกษียณแล้ว จำนวน 3 คน ขณะกระทำความผิดมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ รองประธาน และสมาชิกสมทบ คือ พ.ต.อ.ชำนาญฯ อดีต ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.พัทลุง ,ร.ต.ต.ใจฯ อดีต ผบ.หมู่ ป.สภ.ควนขนุน และด.ต.วิชาฯ อดีต รอง สว.(ป) สภ.ศรีบรรพต เป็นสมาชิกสมทบ/ผู้นำเช็คไปขึ้นเงิน และบุคคลภายนอก จำนวน 5 คน - เป็นอดีตข้าราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ฯ เกษียณแล้ว ถูกแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป, ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรืออยู่ในความครอบครองของนายจ้าง, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอมและดำเนินคดีในความผิดเป็นเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.65 ได้มีปฏิบัติการเข้าตรวจค้น 74 เป้าหมายในพื้นที่ 9 จังหวัด เพื่อตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมด ซึ่งสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้มูลค่ากว่า 694 ล้านบาท กระทั่งเช้าวันนี้ ได้เข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีก 25 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี, นครศรีธรรมราช, ตรัง และพัทลุง สามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้เพิ่มเติมอีกกว่า 309 ล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินตรวจยึดได้ทั้งหมด 1,003,753,140 บาท

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เผยอีกว่า สำนวนการสอบสวนในคดีนี้ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำพยานกว่า 959 ราย เอกสารในสำนวนมีมากกว่า 50,000 แผ่น พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้ง 26 รายตามฐานความผิดทุกข้อกล่าวหา สรุปสำนวนเตรียมเสนออัยการต่อไป ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 ราย ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แยกทำสำนวนเสนอส่ง ปปช. เพื่อดำเนินการอีกส่วนหนึ่งแล้ว ในส่วนของทรัพย์สินที่มีการตรวจยึดอายัดทั้งหมดรวมกว่า 900 ล้านบาท ได้แยกสำนวนเป็นคดีฟอกเงินอีกส่วนหนึ่ง และจะเร่งสรุปสำนวนเสนออัยการในชั้นต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มาแล้ว! ศาลปกครอง ร่อนเอกสารชี้แจงปม 'บิ๊กโจ๊ก' ยังไม่มีคำพิพากษาใดๆ

ศาลปกครอง เผยแพร่เอกสารชี้แจง กรณีที่มีสื่อมวลชนนำเสนอผลการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน นั้น

ลุ้นองค์คณะฯอ่านคำพิพากษา ดับฝัน 'โจ๊ก-แมว9ชีวิต' กลับตร.

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา "บิ๊กโจ๊ก" - พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อตรวจสอบความชอบธรรมของคำสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งคดีนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางปกครองในระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ตร. ไม่ขอก้าวล่วง ศาลปกครองสูงสุด ชี้ขาด 'บิ๊กโจ๊ก' ขอคุ้มครองชั่วคราว

พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองยกคำร้องคุ้มครองชั่วคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ว่า ตนขอให้ความเห็นแบบกว้าง ๆ

ศาลปกครองสูงสุด ปิดเงียบผลชี้ขาดคดีบิ๊กโจ๊ก สั่งเก็บหลักฐานฟันสื่อละเมิดอำนาจศาล

นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

จบแล้วบิ๊กโจ๊ก! สะพัด ศาลปกครองสูงสุด ชี้คำสั่ง 'ให้ออกจากราชการ' ชอบด้วยกฎหมาย

ที่ศาลปกครองกลาง ถ.เเจ้งวัฒนะ มีการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยนายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุม