'หมอยง' เปิดผลสำรวจผู้ปกครองเด็ก 5-11 ปี สมัครใจฉีดวัคซีนโควิด 75.3 %

14 ก.พ. 2565 – ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โควิด 19 วัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความสมัครใจ

การรับวัคซีนป้องกัน covid 19 ในประเทศไทยเป็นไปตามความสมัครใจ

การศึกษานี้ให้นักเรียนมัธยมปลาย 4 ท่าน ฝึกการทำวิจัย แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการสอนให้คิดและวิเคราะห์เป็น

เราเริ่มให้วัคซีนในเด็กอายุ 5- 11 ปี ได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังได้เคยกล่าวมาแล้วว่าเด็กจะเป็นกลุ่มท้ายท้ายที่ควรจะได้รับวัคซีน

จากแบบสอบถามความสมัครใจในผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 5 ถึง 11 ปี ถึงความสมัครใจในการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยผ่านทางสื่อสังคม ในช่วงวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2565

มีผู้ปกครองตอบคำถามมาทั้งสิ้น 3,588 คน ผลที่ได้ พอจะประเมินได้ดังแสดงในรูป

ผู้ตอบแบบสอบถามมีหลากหลายอาชีพ โดยเป็นบุคลากรทางการแพทย์ รับราชการ ธุรกิจส่วนตัว บริษัทเอกชน และแม่บ้าน และอื่นๆ

อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมากที่สุด จังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะปริมณฑล และกระจายเกือบทั้งประเทศ

ผู้ปกครอง (3,588 คน) จะจะอนุญาตให้ บุตรหลานที่อายุ 5 ถึง 11 ปี รับวัคซีนป้องกัน covid 19 ร้อยละ 75.3 และไม่ขอรับวัคซีนร้อยละ 24.7

ในจำนวนที่จะไปรับวัคซีน (2,700 ราย) ชนิดของวัคซีนที่ต้องการ ตามที่ขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะเป็น pfizer ร้อยละ 59.2 sinopharm 30.7 %, sinovac 5.6 % และฉีดสลับชนิดของวัคซีน 4.6 %

จากข้อมูลทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ความต้องการที่จะฉีดวัคซีนให้เด็กยังอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 3 ใน 4 และการเลือกฉีดชนิดของวัคซีนก็มีความหลากหลาย

ที่น่าสนใจคือคำถามปลายเปิด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ต้องให้กับบุตรหลานไปรับวัคซีน ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงอาการข้างเคียง และผลระยะยาวของวัคซีน

การให้ความรู้ ประโยชน์ ผลที่ได้รับ และอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากวัคซีน ในวัคซีนชนิดต่างๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยการตัดสินใจของผู้ปกครอง

นักเรียนที่ทำการศึกษาคือ นายนรกิตติ์ สุทธินรเศรษฐ์ นางสาวลิตา ตันติประภาส นายนรเศรษฐ์ สุทธินรเศรษฐ์ และ นางสาวปิยาภา สุทธินรเศรษฐ์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'คารม' บอกรัฐบาลเฝ้าระวังโรคไอกรนใกล้ชิดผู้ปกครองไม่ต้องห่วง

'คารม' เผยรัฐบาลร่วมบูรณาการเฝ้าระวังโรคไอกรนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในโรงเรียน เน้นย้ำเฝ้าระวัง ติดตามอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่ระบาด ขอผู้ปกครองอย่าเป็นกังวล