11 ก.พ.2565 – รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ทะลุ 405 ล้านแล้ว เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 2,313,924 คน ตายเพิ่ม 9,891 คน รวมแล้วติดไป 405,967,025 คน เสียชีวิตรวม 5,806,444 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน รัสเซีย บราซิล ฝรั่งเศส และอเมริกา จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 87.6 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 79.93
ล่าสุดจำนวนติดเชื้อใหม่จากทวีปยุโรปนั้นคิดเป็นร้อยละ 54.37 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 34.68 เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปครอง 5 ใน 10 อันดับแรก และ 10 ใน 20 อันดับแรกของโลก
…”รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง”
วลีข้างต้นสะท้อนความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของบางประเทศในยุโรป ที่ตัดสินใจยุติข้อจำกัดต่างๆ ในการป้องกันโรคโควิด-19 เช่น เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร และอื่นๆ
ทั้งนี้หากลองวิเคราะห์โดยดูข้อมูลต่างๆ จะเห็นว่ายุโรปนั้นโดน Omicron ระบาดอย่างหนักหน่วง แม้ปัจจุบันจะมีแนวโน้มเป็นขาลงกว่าเดิม แต่แต่ละวันก็ยังติดเชื้อใหม่กว่า 2 ล้านคน และตายกว่า 3 พันคน ลักษณะการระบาดดังกล่าวสะท้อนความยาวนานของการระบาดที่ยากจะกดลงในเวลาอันสั้น
เหลียวมองอัตราการตาย หรือป่วยรุนแรงของ Omicron ดูลดลงกว่าระลอกเดลตา โดยมีการศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าลดลงราว 30-70% (แต่ต้องย้ำว่า แม้ลดลงกว่าเดิม แต่ก็ยังมีโอกาสป่วยรุนแรงและตายได้ดังตัวเลขที่เห็นในแต่ละวัน) ทำให้การมองของกลุ่มนโยบายที่ห่วงเรื่องสังคมและเศรษฐกิจด้วยนั้นจึงมองแบบให้น้ำหนักเชิง relative หรือเชิงสัมพัทธ์กับระลอกก่อน แล้วแปลผลว่า Omicron สร้างผลกระทบเรื่องนี้น้อยกว่าเดลตาอย่างมาก
สุดท้ายคือ มองอาวุธที่ใช้สู้อยู่ในปัจจุบัน (ดังแสดงในตาราง) ได้แก่ วัคซีน ทั้งนี้งานวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ ชี้ให้เห็นว่า วัคซีนที่ใช้อยู่นั้นแม้จะฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว โอกาสที่จะป้องกันการติดเชื้อแบบไม่มีอาการนั้นยาก โอกาสที่จะป้องกันการติดเชื้อแล้วป่วย/มีอาการก็มีประสิทธิภาพไม่สูงมากนัก (ราว 60+%) แต่ยังป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ดี แปลผลตามข้อมูลที่มีคือ “ป้องกันติดเชื้อได้ยาก ป้องกันป่วยได้ไม่มาก แต่ป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ดี (แต่ไม่ทราบระยะเวลาว่าจะคงประสิทธิภาพนี้ได้นานเพียงใด)”
พอพิจารณาข้อมูลข้างต้น จึงไม่แปลกใจที่บางประเทศที่ยกตัวอย่างมานั้น จึงมีแนวโน้มจะตัดสินใจเปิดเสรีการใช้ชีวิต เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยหวังว่าความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบอาจไม่มาก
จึงนำไปสู่สถานการณ์ที่ขอเรียกว่า “รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง”
ถัดจากการประกาศนโยบายดังกล่าว จึงมีแนวโน้มสูงที่ในประเทศเหล่านั้นจะมีการระบาดทวีความรุนแรงขึ้น เพราะธรรมชาติของโรคนั้นไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ยังมีโรคอย่างชุกชุม การมีคนหนาแน่นแออัด (crowdedness) พบปะติดต่อกันมาก (frequency) ใกล้ชิดคลุกคลีกันมาก (closeness) และใช้เวลายาวนาน (long duration) รวมถึงการไม่ป้องกันตัว ทั้งเรื่องการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง (no personal protective behaviors) ยังไงก็ตามไม่ช้าก็เร็ว ต้องมีการติดเชื้อแพร่เชื้อกันมากขึ้น
ผลกระทบที่จะตามมาคือ การป่วยการเสียชีวิตย่อมต้องมากขึ้น รวมถึงเรื่องภาวะอาการคงค้างระยะยาว หรือ Long COVID ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน การทำงาน และเรื่องภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวต่อตัวบุคคล ครอบครัว และประเทศ
ย่างก้าวของประเทศอื่นนั้น ดูไว้เป็นกรณีศึกษา ไม่ได้หมายความว่าต้องทำตาม เพราะจุดหมายอาจไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนาก็เป็นได้
…อัปเดตงานวิจัยเกี่ยวกับ Long COVID
ล่าสุด Cohen K และคณะ ได้เผยแพร่งานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ใน British Medical Journal เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา สาระสำคัญคือ กลุ่มคนสูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 นั้นมีถึง 1/3 ที่จะมีอาการคงค้าง หรือ Long COVID โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่ไม่ได้ติดเชื้อหลายเท่าอย่างมีนัยสำคัญ
อาการคงค้างเกิดขึ้นได้ในหลายระบบ หลายอวัยวะ ตั้งแต่สมอง หัวใจและหลอดเลือด การแข็งตัวของเลือด ต่อมไร้ท่อ ทางเดินอาหาร รวมถึงผิวหนัง
…สำหรับไทยเรา
การระบาดขณะนี้รุนแรง กระจายไปทั่ว เป็นขาขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรพ.ประสบปัญหาการติดเชื้อในบุคลากรจำนวนมาก และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นจนกระทบต่อระบบบริการแล้ว
การตระหนักรู้ถึงสถานการณ์จริง และป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดนั้นจำเป็นอย่างมาก ใส่หน้ากากเสมอ เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนอื่นเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น
หากไม่สบาย แม้เล็กน้อย ก็ควรแจ้งคนใกล้ชิดและที่ทำงาน หยุดเรียนหยุดงาน และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน เป็นการแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม
การประคับประคองให้พ้นวิกฤติระยะนี้ “ต้องพึ่งตนเอง” เน้นการป้องกันตนเองและสมาชิกในครอบครัวเป็นหลัก
กิจการห้างร้านก็จำเป็นต้องดูแลตนเองให้ดี ถ้าเคร่งครัด ความเสี่ยงก็จะลดลง กิจการก็จะยังพอดำเนินไปได้ แต่หากโลภ ไม่แคร์ ไม่สนใจ ปัญหาก็จะตามมาตามวัฏจักรธรรมชาติของโรค
เครดิตตาราง: Topol E. อ้างอิง Cohen K et al. Risk of persistent and new clinical sequelae among adults aged 65 years and older during the post-acute phase of SARS-CoV-2 infection: retrospective cohort study. BMJ 2022;376:e068414.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หมอยง' ชี้สถานการณ์โควิดเปลี่ยนตามกาลเวลา ปีนี้ยุติแล้ว แต่ไวรัสยังอยู่ต่อไป
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า 5 ปี โควิด 19 กาลเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
‘หมอยง’ สะท้อนความรู้สึกโควิด-19 ปีที่ 2 'ยุ่งเหยิง-ดราม่าวัคซีน-เซียนคีย์บอร์ด'
หลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก ในปีแรก ทุกคนมุ่งหวัง ที่จะยุติการระบาดด้วยวัคซีน จึงมีการผลิตคิดค้นวัคซีนกันมากมาย มากกว่า 10 platform
'หมอยง' เผยสถาการณ์โควิดเปลี่ยนไปมากคำแนะนำก็ต้องเปลี่ยนตาม
ศ.นพ.ยง ภู่รวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก
'คารม' บอกรัฐบาลเฝ้าระวังโรคไอกรนใกล้ชิดผู้ปกครองไม่ต้องห่วง
'คารม' เผยรัฐบาลร่วมบูรณาการเฝ้าระวังโรคไอกรนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในโรงเรียน เน้นย้ำเฝ้าระวัง ติดตามอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่ระบาด ขอผู้ปกครองอย่าเป็นกังวล