แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลทดลองยา AZD7442 ลดเสี่ยงป่วยหนัก และเสียชีวิตในแบบมีอาการ 83%ไม่มีอาการ 88% เป็นทางออกคนแพ้วัคซีน

18พ.ย.2564- แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลการวิเคราะห์การทดลองใช้ยา AZD7442 จากการศึกษาระยะที่ 3 ยันมีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรคได้ในระยะยาว รายงานจากการติดตามผลการทดลองในช่วง 6 เดือน แสดงให้เห็นว่า AZD7442 สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการได้ถึง 83% โดยไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตในกลุ่มที่ได้รับยานี้
จากอีกการทดลองผู้ป่วยโควิด-19 ที่แสดงอาการและได้รับยาภายในช่วง 3 วันแรกพบว่ายาสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรง หรือเสียชีวิตได้ถึง 88%
ข้อมูลล่าสุดจากการทดลองใช้ AZD7442 เพื่อการป้องกันโรคโควิด-19 ภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) และการรักษาโรคโควิด-19 สำหรับกลุ่มผู้ป่วยนอก ภายใต้การศึกษา แท็คเคิล (TACKLE) โดยการศึกษาระยะที่ 3 นี้แสดงให้เห็นว่าการฉีดยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long Acting Antibody – LAAB) แบบผสมเข้ากล้ามเนื้อหนึ่งโดสนั้นมีประสิทธิผลสูง

จากการวิเคราะห์ผลการทดลองภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) ได้ติดตามประเมินผลจากผู้เข้าร่วมโครงการในระยะเวลา 6 เดือน แสดงให้เห็นว่าการใช้ยา AZD7442 ขนาด 300 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหนึ่งโดส สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) ได้ถึง 83%

ประชากรทั่วโลกประมาณ 2% มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ลดลง ประชากรเหล่านี้รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด และผู้ป่วยมะเร็งอื่น ๆ ที่ได้รับเคมีบำบัด ผู้ป่วยที่ต้องฟอกไต ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลังจากการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 2-6

การทดลอง AZD7442 ภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) เป็นการทดลองในระยะที่ 3 โครงการแรกซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อประเมินผลโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (แอนติบอดี้ที่สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาว) สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มากกว่า 75% ของผู้เข้าร่วมโครงการพรูฟเวนท์ (PROVENT) เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่เดิม และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนน้อยกว่าคนทั่วไป และหากติดเชื้อจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19

จากการวิเคราะห์หลักและการวิเคราะห์ผลการรักษาที่ 6 เดือนในผู้ที่ได้รับยา AZD7442 นั้น ไม่พบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอก พบว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรงเพิ่มขึ้น 2 ราย
ในการประเมินผลการรักษาที่ระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมีผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง 5 ราย และเสียชีวิต 2 ราย ในกลุ่มที่ได้ยาหลอก

จากบทวิเคราะห์ของการทดลองแท็คเคิล (TACKLE) กับผู้ป่วยนอกที่แสดงอาการน้อยถึงปานกลางจากโรคโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าการใช้ยา AZD7442 ขนาด 600 มิลลิกรัม 1 โดส ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรงหรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุได้ถึง 88% เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการในช่วง 3 วันแรกหรือน้อยกว่า

ผู้เข้าร่วมการทดลองแท็คเคิล (TACKLE) จำนวน 90% มาจากประชากรที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรครุนแรงหากติดโรคโควิด-19 ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว

การทดลองภายใต้การศึกษาทั้ง พรูฟเวนท์ (PROVENT) และแท็คเคิล (TACKLE) แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้ารับการวิจัยการใช้ยา AZD7442 สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ดี และไม่มีประเด็นด้านความปลอดภัยระบุเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์ที่ 6 เดือนภายใต้การศึกษาพรูฟเวนท์ (PROVENT)

ฮิวจ์ มอนต์โกโมรี อาจารย์ภาควิชาเวชบำบัดผู้ป่วยหนัก มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน และหัวหน้าทีมวิจัยของ TACKLE กล่าวว่า จากผลลัพธ์ที่น่าสนใจนี้ทำให้เรามั่นใจได้ว่าการใช้ยาแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาวแบบผสมนั้น สามารถทำให้ผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางได้รับการป้องกันในระยะยาว พวกเขาจำเป็นที่จะต้องได้กลับไปใช้ชีวิตให้ได้โดยเร็ว สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ยาตัวนี้ยังสามารถป้องกันได้นานถึง 6 เดือน ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนน้อยกว่าคนทั่วไป

เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า AZD7442 เป็นข้อมูลยาแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาวเพียงชนิดเดียว ที่แสดงให้เห็นทั้งประโยชน์ของการป้องกัน ก่อนการสัมผัสโรคและการรักษาโรคโควิด-19 ได้ในโดสเดียว ข้อมูลใหม่นี้ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการยืนยันว่า AZD7442 สามารถที่จะป้องกัน และรักษาโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรากำลังดำเนินการยื่นเอกสารขออนุมัติขึ้นทะเบียนยานี้ทั่วโลก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมีทางเลือกใหม่ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยเร็ว

รายงานฉบับเต็มจากการศึกษาพรูฟเวนท์ (PROVENT) และแท็คเคิล TACKLE อยู่ในขั้นตอนการยื่นตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และจะมีการนำเสนอในการประชุมทางการแพทย์ต่อไป

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นเอกสารเพื่อขอรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ยา AZD7442 ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับการป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว

แอสตร้าเซนเนก้าตกลงที่จะส่งมอบ AZD7442 จำนวน 700,000 โดสให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ หากองค์การอาหารและยาอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงข้อตกลงที่จะส่งมอบให้ประเทศต่างๆด้วย

สำหรับ พรูฟเวนท์ (PROVENT) เป็นการทดลองในระยะที่ 3 แบบการสุ่มและปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง และศึกษาควบคุมด้วยยาหลอก ภายในศูนย์ทดลองหลายแห่ง เพื่อให้ทราบถึงความปลอดภัย และประสิทธิผลของการใช้ยา AZD7442 ขนาด 300 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในการป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มผู้เข้าร่วมโครงการที่ไม่ได้เป็นโรคโควิด-19 การทดลองนี้ได้ดำเนินการขึ้นทั้งหมด 87 แห่งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยม มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวน 5,172 คน โดยสุ่มที่จะได้รับยา AZD7442 หรือยาหลอกในอัตรา 2:1 โดยมีผู้ได้รับยา AZD7442 เป็นจำนวน 3,460 คน และมีคนได้รับน้ำเกลือเป็นยาหลอกจำนวน 1,737 คน ซึ่งเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสองจุดต่อเนื่องกัน

บทวิเคราะห์หลักได้รายงานเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 มีผู้เข้าร่วมโครงการ 5,172 คน จากข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2564 ประสิทธิผลระดับปฐมภูมิคือการเกิดกรณีแรกที่พบการติดเชื้อ SARS-CoV-2 จากการตรวจ RT-PCR เกิดขึ้นหลังจากได้รับการฉีดยาไปแล้วใน 183 วัน ในการติดตามผลที่ระยะเวลา 6 เดือน นั้นประเมินจากผู้เข้าร่วมโครงการ 4,991 คน ข้อมูล ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2564 และจะยังคงติดตามต่อไปจนครบ 15 เดือน ผู้เข้าร่วมโครงการที่เลือกจะออกจากการศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) เพื่อไปรับวัคซีน จะถูกคัดออกจากข้อมูลการวิเคราะห์หลัก และการวิเคราะห์ที่ 6 เดือน

ผู้เข้าร่วมโครงการมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ได้ประโยชน์จากยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนไม่เพียงพอ (กลุ่มคนที่คาดว่าจะมีการตอบสนองต่อวัคซีนน้อยลงหรือไม่ตอบสนองเลย) หรือรวมไปถึงผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัส และคนที่อยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการคัดกรองว่าไม่เคยได้รับวัคซีน และมีผลตรวจโควิด-19 ทางเซรุ่มวิทยาเป็นลบ

ผู้เข้าร่วมโครงการราว 43% มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นมากกว่า 75% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงจากโควิด-19 ซึ่งรวมถึงโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ที่ทานยากดภูมิ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคอ้วนรุนแรง โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง และโรคตับเรื้อรัง

แอสตร้าเซนเนก้ากำลังดำเนินการยื่นเอกสารในเรื่องของกฏเกณฑ์การใช้ยา AZD7442 ทั่วโลกในกรณีฉุกเฉิน เพื่อใช้ทั้งในการป้องกัน และการรักษา

เกี่ยวกับโครงการ แท็คเคิล (TACKLE)TACKLE เป็นการทดลองในระยะที่ 3 แบบการสุ่มและปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง และศึกษาควบคุมด้วยยาหลอก ภายในศูนย์ทดลองหลายแห่ง เพื่อให้ทราบถึงความปลอดภัย และประสิทธิผลของการใช้ยา AZD7442 ขนาด 600 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในการรักษากลุ่มผู้ป่วยนอกจากโรคโควิด-19 มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวน 903 คน โดยสุ่มที่จะได้ยา AZD7442 หรือยาหลอกในอัตรา 1:1 โดยมีผู้ได้รับยา AZD7442 เป็นจำนวน 452 คน และมีคนได้รับน้ำเกลือเป็นยาหลอกจำนวน 451 คน ซึ่งเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสองจุดต่อเนื่องกัน รายงานฉบับเต็มนำเสนอเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564

ผู้เข้าร่วมโครงการมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ป่วยนอกโรคโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีอาการในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ผู้เข้าร่วมโครงการต้องได้รับการยืนยันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วยวิธีการทดสอบเชื้อทางโมเลกุล (การตรวจแอนติเจนหรือกรด นิวคลีอิก) จากตัวอย่างทางระบบทางเดินหายใจ (เช่น ทางช่องปาก ช่องจมูก หรือ น้ำมูก หรือ น้ำลาย) ซึ่งเป็นการเก็บเชื้อมาไม่เกิน 3 วันนับจากที่เข้าร่วมโครงการ

ประสิทธิผลระดับปฐมภูมิประกอบไปด้วยการเกิดโรคโควิด-19 แบบรุนแรง หรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุที่เกิดขึ้นในช่วง 29 วัน ซึ่งการศึกษานี้จะดำเนินการติดตามผลต่อจนครบ 15 เดือน

ผู้เข้าร่วมโครงการราว 13% มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น 90% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงจากโรคโควิด-19 ซึ่งรวมถึงโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน โรคปอดเรื้อรัง โรคหอบ โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เกี่ยวกับยา AZD7442 AZD7442 ยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long Acting Antibody – LAAB) ที่ผสมยา LAAB สองชนิด ได้แก่ tixagevimab (AZD8895) และ cilgavimab (AZD1061) ซึ่งมาจากบีเซลล์ที่ได้รับการบริจาคจากผู้ที่เคยป่วยจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งถูกค้นพบโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิวท์ และได้อนุญาตให้แอสตร้าเซนเนก้านำมาพัฒนาต่อเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2563 โมโนโคลนอลแอนติบอดีของมนุษย์ 2 ตัวนี้จะมีความจำเพาะที่ต่างกัน เพื่อจับกับโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ SARS-CoV-2 ในคนละจุด7 และถูกพัฒนาต่อโดยแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อขยายระยะเวลาครึ่งชีวิต (half-life) เพื่อเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ และปรับให้มีการจับกันของ Fc Receptor และ Complement ชนิด C1q ที่ลดลง โดยการขยาย half-life นั้น สามารถเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ได้มากกว่าสามเท่าเมื่อเทียบกับแอนติบอดี้ทั่วไป ซึ่งอาจป้องกันโรคโควิด-19 ได้ยาวนานถึง 12 เดือน จากการใช้ยาเพียงหนึ่งครั้ง8-10 จากข้อมูลของการทดลองในระยะที่ 1 แสดงให้เห็นว่าระดับของแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัส (neutralizing antibody) คงอยู่ได้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 9 เดือน11 และการปรับให้มีการจับของ Fc Receptor ที่ลดลงนั้นสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะ antibody-dependent enhancement (ADE) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่แอนติบอดี้ของเชื้อไวรัสเข้าไปกระตุ้นแทนที่จะยับยั้งการติดเชื้อ12

ยา AZD7442 นี้กำลังอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการนอนโรงพยาบาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ACTIV-3 ที่สนับสนุนโดย National Institute of Health ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการศึกษาในผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลอื่นๆ

ยา AZD7442 ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ รวมไปถึงเงินทุนจากหน่วยงานด้านสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ภายใต้การกำกับดูแลของ Office of the Assistant Secretary for Preparedness and Response และ Biomedical Advanced Research and Development Authority ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงก

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดข้อมูล ‘ไวรัสโควิด’ สร้างได้ในห้องทดลอง มีจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018

การสร้างไวรัสใหม่ชนิดนี้จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่จะแพร่และเกิดโรคระบาดในมนุษย์ได้ทั้งสิ้น และสามารถที่จะสร้างวัคซีนให้มนุษย์ก่อนได้

‘หมอธีระ’ ข้องใจตัวเลขโควิด สัปดาห์ก่อนพุ่งอาทิตย์นี้ลดฮวบ ไม่ใช่เรื่องปกติ

สัปดาห์ก่อน ตัวเลขนอนรพ.พุ่งขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนหน้านั้นถึง 78% แต่สัปดาห์ล่าสุดนี้ ลดลงฮวบฮาบจากสัปดาห์ก่อนถึง 57.7% ส่วนตัวคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ควรต้อง explore