'หมอธีระ' แนะรัฐให้กระตุ้นเตือนเรื่องการระบาดของโควิด-19 ที่ยังอยู่

“หมอธีระ” เผยยอดติดเชื้อไทยยังคงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนหากรวมยอด ATK ยกผลวิจัยชี้ต้องหมั่นกระตุ้นเตือนถึงอันตรายของโคสิดเพื่อให้คนรู้จักป้องกัน

10 พ.ย.2564 - รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิด ว่า 10 พฤศจิกายน 2564 เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 431,961 คน ตายเพิ่ม 6,978 คน รวมแล้วติดไปรวม 251,510,421 คน เสียชีวิตรวม 5,078,636 คน

5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ อเมริกา รัสเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมัน และตุรกี จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 95.16 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 94.78

หากดูแค่ทวีปยุโรป จะพบว่าจำนวนการติดเชื้อใหม่ที่เกิดขึ้นคิดเป็น 58.66% ของทั้งโลก และจำนวนการเสียชีวิตเพิ่มนั้นคิดเป็น 57% ของทั้งโลก

ดูการกระจายของเคสติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นนั้นพบว่าเป็นกันถ้วนทั่ว ไม่ว่าจะประเทศที่ได้วัคซีนมากหรือน้อยก็ตาม แนวโน้มการระบาดที่เพิ่มขึ้นนั้นน่าจะมาจากเรื่องการป้องกันตัวระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน และการเปิดเสรีการใช้ชีวิต การเดินทาง ท่องเที่ยว พบปะกันมากขึ้น

ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตนั้น ชัดเจนว่าประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนครบมากจะมีจำนวนการเสียชีวิตน้อยกว่า ปัจจัยเรื่องการฉีดวัคซีนครบโดสจึงน่าจะมีความสำคัญสูงที่จะส่งผลต่อเรื่องการเสียชีวิต

ดังนั้นการเปิดประเทศ เปิดท่องเที่ยว เดินทางพบปะกันของแต่ละประเทศนั้น เรื่องนี้จึงสำคัญยิ่งนัก หากสัดส่วนประชากรที่ได้วัคซีนครบอยู่ในระดับต่ำ ความเสี่ยงของการป่วยและเสียชีวิตย่อมมีสูง ถ้าไปเปิดในช่วงที่ยังไม่พร้อมหรือพร้อมน้อยกว่าเค้า การป้องกันตัวของประชาชนแต่ละคนจึงต้องเน้นย้ำให้เคร่งครัดมากๆ

...สำหรับสถานการณ์ไทยเรา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 6,904 คน สูงเป็นอันดับ 19 ของโลก หากรวม ATK อีก 1,497 คน จะขยับเป็นอันดับ 15 ของโลก และยอดที่รวม ATK ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง

...อัพเดตงานวิจัย
1. ทีมวิจัยจากเดนมาร์กศึกษาไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่กลายพันธุ์ AY.4.2 พบว่าไม่ได้ดื้อต่อระดับภูมิคุ้มกันมากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดลตาเดิม

2. การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมในการป้องกันการติดเชื้อ ของทีมวิจัยของอเมริกา ได้ชี้ให้เห็นว่า การที่คนเรานั้นจะมีความเชื่อว่าตนเองจะสามารถป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้ไม่ติดเชื้อโควิด (self-efficacy) ได้นั้นมีปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องคือ การที่เค้าต้องรับรู้และตระหนักว่าโควิดนั้นยังคุกคามหรืออันตราย (perceived threat), การทำให้เค้ามีความเชื่อมั่นในแหล่งข้อมูลวิชาการ, และการที่มีกฎระเบียบที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติ เช่น การกำหนดให้ใส่หน้ากาก เป็นต้น

ดังนั้นในยามที่สังคมไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน จึงต้องมีมาตรการที่เหมาะสมในการกระตุ้นเตือนประชาชนให้ตระหนักถึงสถานการณ์ระบาดที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง การสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูลความรู้วิชาการที่พิสูจน์ได้ เข้าถึงได้ และชัดเจน รวมถึงการที่ต้องช่วยกันทั้งรัฐ และเอกชน ในการกำหนดระเบียบปฏิบัติที่จำเป็น เช่น การใส่หน้ากาก และเว้นระยะห่าง นี่คือสิ่งสำคัญ ด้วยรักและห่วงใย

อ้างอิง
1. Lassauniere R et al. Neutralisation of SARS-CoV-2 Delta sub-lineage AY.4.2 and B.1.617.2+E484K by BNT162b2 mRNA vaccine-elicited sera. medRxiv. 9 November 2021.
2. Hamerman EJ et al. Generalized self-efficacy and compliance with health behaviours related to COVID-19 in the US. Psychol Health. 2021 Nov 8;1-18.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘หมอยง’ สะท้อนความรู้สึกโควิด-19 ปีที่ 2 'ยุ่งเหยิง-ดราม่าวัคซีน-เซียนคีย์บอร์ด'

หลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก ในปีแรก ทุกคนมุ่งหวัง ที่จะยุติการระบาดด้วยวัคซีน จึงมีการผลิตคิดค้นวัคซีนกันมากมาย มากกว่า 10 platform

เปิดข้อมูล ‘ไวรัสโควิด’ สร้างได้ในห้องทดลอง มีจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018

การสร้างไวรัสใหม่ชนิดนี้จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่จะแพร่และเกิดโรคระบาดในมนุษย์ได้ทั้งสิ้น และสามารถที่จะสร้างวัคซีนให้มนุษย์ก่อนได้