19 เม.ย. 2565 – ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) โพสต์ข้อมูลลงในเฟซบุ๊ค ระบุว่า องค์การอนามัยโลกประกาศเพิ่มความระมัดระวังโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอีก 2 สายพันธุ์ “BA.4” และ “BA.5” จากเดิม 4 สายพันธุ์ “BA.1, BA.1.1, BA.2, และ BA.3”
จากการสืบค้นจากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก”GISAID” (4/12/2565) ยังไม่พบ BA.4 และ BA.5 ในประเทศไทย
องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน ว่ากำลังเฝ้าติดตามกลุ่มผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยใหม่สองสายพันธุ์คือ “BA.4” และ “BA.5” ประมาณ 30-40 คนเพื่อประเมินว่า
สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 จะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วเหนือกว่า BA.2 หรือไม่ เพราะจากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่า BA.5 แตกต่างไปจากไวรัสอู่ฮั่นดั้งเดิมเกือบ “100 ตำแหน่ง” ซึ่งมากที่สุดเท่าที่พบมา รองลงมาคือ BA.4 จากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่า BA.4 แตกต่างไปจากไวรัสอู่ฮั่นดั้งเดิมถึง “90 ตำแหน่ง”
จากการศึกษาธรรมชาติของการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าตำแหน่งกลายพันธุ์บนจีโนมที่เพิ่มขึ้นมีความแปรผันตรงกับความเร็วของการแพร่ระบาด ด้วยเหตุนี้ทำให้ WHO ขอร้องให้ทุกประเทศทั่วโลกช่วยกันจับตามองสองสายพันธุ์นี้เป็นพิเศษ
สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 จะก่อให้เกิดอาการของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงมากกว่าโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย “BA.1” และ “BA.2” ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้หรือไม่
จากการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 จากฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” จำนวน “10,220,862 ตัวอย่าง” จากทั่วโลกในวันที่ 13/4/2565 พบ
-สายพันธุ์ BA.4 ประมาณ “134 ตัวอย่าง” และ สายพันธุ์ BA.5 เพียง “158 ตัวอย่าง” เพียงหลักร้อยทำให้คาดคะเนว่า ไวรัสทั้งสองสายพันธุ์อาจจะมีวิถีวิวัฒนาการที่ยังไม่สามารถเข้าได้กับสิ่งแวดล้อมขณะนี้
จากการสืบค้นฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” เมื่อ 4/12/2565 ยังไม่พบ BA.4 และ BA.5 ในประเทศไทย (ภาพ3)
สรุปว่าขณะนี้ WHO กำลังเฝ้าระวังโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอยู่ 6 สายพันธุ์ กล่าวคือ BA.1, BA.1.1, BA.2, BA.3, BA.4 และ BA.5) และสายพันธุ์ลูกผสมอีกประมาณ 8 สายพันธุ์ คือ XD,XF, XE, XG,XH,XL,XK, และ XJ
สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 มีรหัสพันธุกรรมคล้ายคลึงกับโอไมครอน “BA.2” มาก โดยมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากโอไมครอน BA.2 ประมาณ 2 ตำแหน่งบนส่วนของหนามคือ L452R ที่ไปเหมือนกับเดลต้า และ แลมป์ดา และ F486V ซึ่งไม่ค่อยเจอในสายพันธุ์อื่นๆ
จึงจำเป็นต้องเร่งศึกษาการกลายพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงส่วนหนามเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบจากการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของไวรัสสองสายพันธุ์ใหม่นี้
อนึ่งไวรัสโคโรนา 2019 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลาแต่มีเพียง “การกลายพันธุ์บางตำแหน่งเท่านั้น” ที่สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถของไวรัสในการแพร่ระบาดหรือหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาก่อนหน้าจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อตามธรรมชาติ รวมถึงส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของความรุนแรงของโรคโควิด-19
เช่นกรณีของ BA.2 ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกถึงร้อยละ 94 สามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็วเหนือกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์ที่เคยระบาดมาก่อนหน้านี้ (ยกเว้น BA.4 และ BA.5) แต่หลักฐานจนถึงตอนนี้ชี้ให้เห็นว่า BA.2 ไม่น่าจะก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้เหมือนเดลตา บีตา อัลฟา ในอดีต
สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร (The UK’s Health Security Agency) ซึ่งถอดรหัสพันธุ์กรรมโควิด-19 ทั้งจีโนม จากตัวอย่างทั่วโลก (whole genome sequencing) กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าพบ BA.4 ในแอฟริกาใต้ เดนมาร์ก บอตสวานา สกอตแลนด์ และอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. ถึง 30 มี.ค.
ส่วนสายพันธุ์ BA.5 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังพบอยู่เฉพาะในแอฟริกาใต้ แต่ในวันจันทร์ (11/12/2565) นี้กระทรวงสาธารณสุขของบอตสวานารายงานว่าพบผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 แล้วสี่ราย อายุระหว่าง 30 -50 ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน โดยมีอาการไม่รุนแรง (mild symptoms)
พร้อมกันนี้ WHO เห็นว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกขณะนี้ สามารถปรับลดระดับให้กลายเป็นโรคประจำถิ่นได้ (อยู่ภายใต้การควบคุมของสาธารณสุขของแต่ละประเทศ) ภายในปี 2565นี้ หากมีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงวัคซีนและยาต้านไวรัส และที่สำคัญต้องมีการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 70% ในทุกกลุ่มประชากรและในทุกประเทศ เพื่อยับยั้งไวรัสมิให้กลายพันธุ์
โควิด-19 เป็นปัญหาของโลก ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ไวรัสโคโรนา 2019 จะหลบไปกลายพันธุ์ในประเทศที่ประชาชนมีการฉีดวัคซีนป้องกันน้อย และใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ในการแพร่ระบาดไปยังประเทศอื่นๆ แม้ว่าประชากรของประเทศนั้นจะได้รับการฉีดวัคซีน >70% ในทุกกลุ่มประชากร เพราะวัคซีนที่เราใช้ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ได้ลดลงทุกที เช่น วัคซีน mRNA ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูง แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ได้เพียง 50%
จะสังเกตได้ว่าไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์ล่าสุดคือ โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีต้นกำเนิดมาจากประเทศที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนน้อย เช่น Geuteng (BA.4) และ KwaZulu-Natal (BA.5) ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ถึง 90 และ 100 ตำแหน่งตามลำดับ ซึ่ง WHO คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่า BA.5 อาจจะระบาดเข้ามาแทนที่โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2
จากการถอดรหัสพันธุกรรมต่อเนื่องประเมินว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.2″ น่าจะระบาดมาถึงจุดสูงสุด (peak)” แล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากนี้คาดว่าจะเริ่มลดจำนวนลงอย่างช้าๆ ตามติด BA.1 ซึ่งได้ยุติการกลายพันธุ์เข้าสู่โหมดสูญพันธุ์ไปก่อนหน้านี้ หากไม่มีสายพันธุ์อื่นที่กลายพันธุ์ไปมากกว่า “BA.2” เช่น BA.2.12.1 ระบาดเข้ามาแทนที่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โควิดรายสัปดาห์ ป่วยนอนโรงพยาบาล 1,823 ราย เสียชีวิต 12 ราย
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานเกาะติดยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 16 - 22 มิถุนายน 2567
'สุริยะ' นั่งหัวโต๊ะถกครม. 'เศรษฐา' ติดโควิดยังไม่หาย
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ห้อ
‘เศรษฐา’ ลาป่วยติดโควิด กลับมาปฎิบัติงานวันที่ 19 มิ.ย.นี้
นายกรัฐมนตรี ได้พบแพทย์ หลังจากมีอาการป่วย อ่อนเพลียเล็กน้อย ตั้งแต่วันศุกร์ ที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผลการตรวจพบว่าติดโควิด
ทุบสถิติปีนี้! ไทยติดโควิดใหม่รายสัปดาห์ทะลุ 2.7 พันคน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 2 - 8 มิถุนายน 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล